กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
          สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มอบหมายให้ ม.หอการค้าไทย ทำการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิรูปให้สอดคล้องกับหลักการภาษีที่ดี ลดความยุ่งยากซับซ้อน สร้างความโปร่งใส เป็นธรรม เป็นสากลทัดเทียมกับนานาประเทศ พร้อมรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
          ศ.(พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษีอากร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการภาษีอากร สภาหอการค้าฯ ได้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตตามหลักของระบบภาษีที่ดี (good tax system) เนื่องด้วยขณะนี้ระบบภาษีสรรพสามิตเผชิญกับประเด็นปัญหาใหญ่ 3 ประการคือ
          1. การจัดเก็บรายได้สรรพสามิตในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 ต่ำกว่าประมาณการถึงร้อยละ 11 หรือประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท 
          2. ปัญหาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน มีปัญหาเรื่องโครงสร้าง (tax structure) ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ปัญหาเรื่องความโปร่งใส เช่นข้อโต้แย้งเรื่องการแจ้งราคา ณ โรงอุตสาหกรรม หรือการสำแดงราคานำเข้าต่ำกว่าความเป็นจริง ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี (tax administration)ที่สร้างภาระกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และปัญหาเรื่องอัตราภาษีที่เหมาะสม (tax rate)
          3. การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการในกลุ่มประเทศ AEC ได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงอาจทำให้การแข่งขันสูงมากขึ้น 
          ศ.(พิเศษ) กิติพงศ์ฯ กล่าวว่า “จากการที่ภาษีสรรพสามิตสามารถทำรายได้ให้กับรัฐถึง 432,868 ล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 17 ของรายได้รัฐในปีงบประมาณ 2556 และเป็นภาษีที่สำคัญในการจัดการกับภาระภายนอก (externality cost) จึงมีการจัดทำ “โครงการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิต” เพื่อเสนอแนวทางในการปฏิรูปภาษีสรรพสามิต เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อน สร้างความโปร่งใส เป็นธรรม เป็นสากลทัดเทียมกับนานาประเทศ พร้อมรับการเปิดเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาซียน (AEC) ที่จะมาถึงในปี 2558 นี้ โดยมอบหมายให้สถาบันวิชาการนโยบายกิจการสาธารณะกับธุรกิจและการกำกับดูแล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อนำเสนอต่อกระทรวงการคลังและรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป”
          ด้าน ดร. ศิริญญา ดุสิตนานนท์ คณะนิติศาสตร์ ม.หอการค้าไทย หัวหน้าโครงการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิต กล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการฯนี้ก็เพื่อศึกษาวัตถุประสงค์ของการเก็บภาษีสรรพสามิตในประเทศไทย และเพื่อศึกษาประเด็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตของอุตสาหกรรมหลักในภาพกว้าง โดยเน้นที่การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ น้ำมัน รถยนต์ เครื่องดื่ม และสินค้าอื่นๆ บางรายการ ซึ่งเป็นภาษีหลักที่ทำรายได้สูงสุดให้กรมสรรพสามิต รวมถึงศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในระดับสากล เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตสำหรับประเทศไทย โดยมีระยะเวลาในการศึกษาโครงการฯ 5 เดือน ก่อนนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณากำหนดเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป” 
          การจัดทำโครงการศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือทำให้รัฐบาลมองเห็นสภาพปัญหาของระบบภาษีสรรพสามิตของไทยและความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องปฏิรูปภาษีสรรพสามิตแบบจริงจังและสอดคล้องกับหลักการของระบบภาษีที่ดี รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าหากไม่ปฏิรูปภาษีสรรพสามิตจะเกิดผลกระทบอย่างไรขึ้นบ้าง รวมทั้งนำเสนอข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษีสรรพสามิตของประเทศไทย เพื่อนำมาใช้พัฒนาระบบภาษีสรรพสามิตในประเทศไทยให้มีความโปร่งใส่ เป็นธรรม ลดความยุ่งยากซับซ้อน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้กับรัฐบาลในระยะยาวต่อไป ศ.(พิเศษ) กิติพงศ์ฯ กล่าวในที่สุด
          ภาษีสรรพสามิตที่มำรายได้สูงสุด 5 ประเภท
          ปีงบประมาณ พ.ศ.2556
รายการ       จำนวนเงิน (ล้านบาท)  
1. ภาษีรถยนต์  153,874            
2. ภาษีเบียร์   69,086             
3. ภาษียาสูบ   67,891             
4. ภาษีน้ำมัน   63,532             
5. ภาษีสุรา    52,671             
รวม          432,868
          ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง