กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
ฟิทช์กล่าวว่าแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกของไทยอาจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันที่มากขึ้นในครึ่งหลังของปี 2557 หากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่าที่คาดส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีการชะลอตัวลงในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บริษัทในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน และบริษัทในธุรกิจโทรคมนาคม อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งกว่าบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกในการเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสถานการณ์ทางการเมืองได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกได้แสดงผลประกอบการที่อ่อนแอลงตั้งแต่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ดังนั้น ความสามารถของบริษัทที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจและรักษาอันดับเครดิตปัจจุบันจึงลดน้อยลง ในทางตรงกันข้าม บริษัทในธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 และไตรมาสแรกของปี 2557
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด ยอดขาย Presales ของบริษัทชั้นนำในธุรกิจดังกล่าวปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2557 รวมถึง พฤกษา เรียลเอสเตท แสนสิริ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ และ เอพี (ไทยแลนด์) โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งการก่อสร้างที่ล่าช้าและยอดขายที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ารายได้ของบริษัทดังกล่าวน่าจะคงที่หรือเติบโตเล็กน้อยในปี 2557 เนื่องจากยอดจองสะสมและโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนยังอยู่ในระดับสูง
ในขณะเดียวกัน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า โดยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในไตรมาสแรกของปี 2557 ยังคงสูงกว่าร้อยละ 95 ตามรายงานของ Colliers International บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้มีรายได้ส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าจากผู้เช่าพื้นที่ซึ่งมีสัญญาเช่าระยะยาวรองรับ แม้ว่าจะมีการให้ส่วนลดค่าเช่าแก่ผู้เช่าพื้นที่บางรายที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 และไตรมาสแรกของปี 2557 ก็ตาม
ในด้านธุรกิจค้าปลีก ซูเปอร์สโตร์ชั้นนำ เช่น เทสโก้โลตัส และบิ๊กซี มียอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales) รายไตรมาสที่ลดลงประมาณร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2556 ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ของ CP ALL เริ่มมียอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales) ลดลงในไตรมาสแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม สยามแมคโคร บริษัทย่อยในกลุ่ม CP ALL ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าส่งสมัยใหม่แต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย ยังคงมีการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales) ในไตรมาสแรกของปี 2557 ในกรณีของธุรกิจค้าปลีกซึ่งจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ผลกระทบต่อยอดขายน่าจะมีจำกัด เนื่องจากความต้องการบริโภคสินค้าประเภทดังกล่าวได้รับผลกระทบที่จำกัดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ฟิทช์เชื่อว่าผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้น่าจะมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนของสินค้าที่เสนอขาย (Product Mix) การใช้รายการส่งเสริมการขาย รวมถึงการใช้มาตรการควบคุมต้นทุน เพื่อบริหารยอดขายและอัตราส่วนกำไรในภาวะการณ์ปัจจุบันได้
สำหรับธุรกิจโทรคมนาคม รายได้จากการให้บริการ (Service Revenue) ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ซึ่งได้แก่ AIS และ DTAC ในไตรมาสแรกของปี 2557 อยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตของรายได้จากบริการที่ไม่ใช่เสียง (Non-Voice Service Revenue) และบริการด้านข้อมูล (Data Service Revenue) ที่แข็งแกร่ง ได้ช่วยชดเชยการปรับตัวลดลงของรายได้จากบริการเสียง (Voice Service Revenue) ฟิทช์คาดว่ารายได้ และสัดส่วนกำไรของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ จะได้รับผลดีจากค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับหน่วยงานภาครัฐที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนลูกค้าที่ย้ายไปยังระบบ 3G ในส่วนของธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจปิโตรเคมี ฟิทช์คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศไม่มากนัก เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก