กรุงเทพฯ--17 มิ.ย.--บิวท์ ทู บิวด์
บอสใหญ่กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดใจภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกท่ามกลางปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ เผยฝ่าวิกฤตได้ด้วยการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมกับเน้นทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่อง ส่งผลให้เป้าหมายครึ่งปีแรกโตเกินคาด ชี้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังนี้ส่อแววสดใสขึ้น เพราะกำลังซื้อยังไม่หนีหาย และเป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่ต้องการมีบ้าน ก่อนราคาจะถูกปรับขึ้นตามต้นทุนและกำลังซื้อ
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้านคุณภาพ ประกอบด้วย บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด และบริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เป็นที่รู้กันดีว่าจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งด้านการส่งออก การลงทุน และการขับเคลื่อนโครงการของทางภาครัฐฯที่หยุดชะงัก โดยในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านต้องยอมรับว่าสร้างแรงกดดันต่อการตัดสินใจของผู้ประกอบการและผู้บริโภคเป็นอย่างมากในด้านของความเชื่อมั่น และการชะลอการตัดสินใจเพื่อสั่งซื้อหรือปลูกสร้างบ้าน
แต่อย่างไรก็ตาม จากการทำรัฐประหารในช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีผลให้เหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและลดความรุนแรงลงได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการปรับตัวดีขึ้น โดยเห็นได้จากการที่ คสช.ได้ประกาศขับเคลื่อนโครงการภาครัฐที่ค้างจากการบริหารของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีหลัง โดยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นหลัก และธุรกิจในภาพรวมจะทยอยดีขึ้นเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง และจะเห็นภาพเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นได้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
ในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ซึ่งได้ตระหนักและมีการประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมตั้งรับกับวิกฤตในรูปแบบเชิงรุกมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯพยายามแก้ไขปัญหาเน้นทำตลาดในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดและการสื่อสารกับลูกค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ การทำโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนการออกบูธแสดงสินค้า การพัฒนาออกแบบบ้านใหม่ที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ และเน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก หรือแม้แต่การจัดกิจกรรมเชิญชวนลูกค้าเยี่ยมชมขั้นตอนและระบบการก่อสร้างบ้านคุณภาพของบริษัทฯ ณ ไซต์งานจริง ซึ่งได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯเชื่อว่าในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตหากเราหยุดนิ่ง รอดูสถานการณ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียโอกาสโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่ากำลังซื้อของลูกค้าสร้างบ้านไม่ได้หายไปไหน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มีการวางแผนการสร้างบ้านไว้พร้อมแล้วล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ดิน ด้านการเงิน สำหรับลูกค้าส่วนหนึ่งที่กังวลกับสถานการณ์ก็จะไม่ยกเลิกแผนการปลูกสร้าง เพียงแต่ชะลอดูสถานการณ์ให้คลี่คลายก่อนเท่านั้น
ด้านเป้าหมายรวมในปี 2557 ของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ที่ได้ตั้งไว้ 800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นครึ่งปีแรก 40% และครึ่งปีหลังสัดส่วน 60% ตามฤดูกาลขายและสภาพเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ ซึ่งจากการเน้นทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯท่ามกลางวิกฤต ส่งผลดีต่อยอดขายในภาพรวมทั้งกลุ่มในช่วงครึ่งปีแรกได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้และถือว่าประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือของบริษัท (Branding) และการวางแผนงานเชิงรุกเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทฯ และบริษัทฯยังคงทำการตลาดอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ และตอกย้ำแบรนด์มากยิ่งขึ้น
สำหรับทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และเชื่อว่าช่วงเวลาในครึ่งปีหลังนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างมากสำหรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านที่ได้ชะลอการตัดสินใจไว้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะค่อยๆฟื้นตัว ด้านผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านก็จะจัดกิจกรรม โปรโมชั่นเพื่อเรียกกำลังซื้อจากลูกค้ากลับมา ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการจะยังไม่มีการปรับราคาขึ้นในช่วงใกล้ๆนี้ แต่หากรอหลังจากไตรมาสที่ 3 ไปแล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง แน่นอนว่าจะต้องส่งผลในเรื่องของแรงงานขาดแคลนอย่างหนักอีกครั้ง รวมถึงราคาวัสดุ และต้นทุนการก่อสร้างที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งมีผลต่อราคาบ้านที่จะปรับสูงขึ้น จึงอยากจะแนะนำว่าช่วงเวลาระหว่างนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมมากในการตัดสินใจสร้างบ้านของลูกค้า เพื่อที่จะได้บ้านคุณภาพในราคาที่เหมาะสมที่สุด
นายสุธี กล่าวทิ้งท้ายว่า “จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าท่ามกลางวิกฤตต่างๆยังมีโอกาสอยู่เสมอ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดวิกฤต บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีลูกค้าประจำ มีผลงานเป็นที่ยอมรับอย่างต่อเนื่อง ก็จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก”