หอการค้าไทยเสนอจุดยืนแก้ไขปัญหาแรงงาน รับนโยบาย คสช. จัดการแรงงานทั้งระบบ

ข่าวทั่วไป Wednesday July 2, 2014 14:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--หอการค้าไทย นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึง สถานการณ์ปัญหาแรงงานของไทยว่า กรณีที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Tier 3 คือ ประเทศที่ดําเนินการไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา และไม่มีความพยายามปรับปรุงแก้ไข นั้น อาจจะส่งผลต่อการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังทั่วโลก นอกจากนั้น การที่สหภาพยุโรปได้ออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยระบุว่า "สหภาพยุโรปได้เรียกร้องให้มีการเจรจาหารือ การแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมืองโดยสันติ และการเคารพต่อหลักการประชาธิปไตยในประเทศไทยมาโดยตลอด ความจําเป็นเร่งด่วนในขณะนี้ คือการกําหนดกรอบเวลาในการจัดการเลือกตั้งที่ชัดเจน เพื่อนําไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถทําหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ และมีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุดโดยขอให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจและทํางานร่วมกันเพื่อ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และขอเรียกร้อง ให้ทหารเคารพต่อมาตรฐานสิทธิมนษุยชนสากล รวมทั้งสิทธิเสรีภาพของสื่อด้วย" ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งอาจรวมถึงสินค้าจากประเทศไทยอีกด้วย นายภูมินทร์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าจับตาก็คือ ในเดือนกันยายน กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ จะดำเนินการประกาศรายงานประจำปีเกี่ยวกับสถานการณ์และการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด (Findings on the Worst Forms of Child Labor) ของประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่ได้รับสิทธิพิเศษ GSP. ไทยอยู่ในระดับ “Significant Advancement” (มี 9 ประเทศ จาก 143 ประเทศที่ถูกจัดทำรายงาน) ซึ่งบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุผลให้เชื่อว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ (List of Goods Produced by Child Labor or Forced Labor – TVPRA List) ได้แก่- กุ้ง เสื้อผ้า (แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ) อ้อย สื่อลามก (แรงงานเด็ก) ปลา (แรงงานบังคับ) ซึงคงต้องติดตามดูว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศไทยบ้าง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งเมื่อปี 2556 ส่งออกประมาณ7,000 ล้านล้านบาทต่อปี) อีกทั้ง ประเทศไทยยังเป็นผู้ส่งออกหลักของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลทั้งสด แปรรูป และอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง รวมทั้ง ยังเป็นห่วงโซ่การผลิตของหลาย ๆ อุตสาหกรรมไปยังทั่วโลก โดยมีแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในทั่วราชอาณาจักร ประมาณ 1,523,869 คน (ข้อมูลจาก สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว รวบรวมเดือนพฤษภาคม 2557) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่สหรัฐฯ ได้จัดอันดับให้อยู่ใน Tier 3 คือ ประเทศที่ดําเนินการไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา และไม่มีความพยายามปรับปรุงแก้ไข คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้มีการประชุมหารือและจัดทำข้อเสนอต่อภาครัฐออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ 1 การแก้ไขปัญหาแรงงานของประเทศไทย 2 การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และ 3 การแก้ไขปัญหาแรงงานประมง ดังนี้ การแก้ไขปัญหาแรงงานของประเทศไทย · ต้องมีการวางแผนในระยะยาว 5 – 10 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไหนของประเทศ เนื่องจากปัญหาแรงงานจะมีความรุนแรง และจะไม่สามารถหาแรงงานมาทดแทนได้เพียงพอ ในอนาคตตามแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมในอนาคต · ควรมีมาตรการในการเตรียมความพร้อมในการจัดการแรงงานทั้งระบบอย่างถูกต้องและมีจำนวนแรงงานที่เพียงพอสำหรับประเทศไทยในระยะยาวได้ · สนับสนุนงบประมาณการวิจัย และพัฒนา นวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อทดแทนการใช้กำลังแรงงานคน · ควรมีการสนับสนุนสินเชื่อของธนาคารรัฐให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง และพัฒนาธุรกิจของตนให้ใช้แรงงานน้อยลง · เตรียมความพร้อมในการวางแผนการพัฒนาคนเพื่อรองรับการขยายตัวในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และศึกษากำลังคนเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงได้ · ปรับปรุง และยกระดับระบบการศึกษาไทยในระดับอาชีวศึกษา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ · รณรงค์ให้หอการค้าจังหวัด หน่วยงานภาคเอกชน ประชาสัมพันธ์หน่วยงานต่างๆ ให้เห็นความสำคัญของแรงงานต่อการเจริญเติบโตของธุรกิจ พร้อมทั้ง ให้หยุดการใช้แรงงานผิดกฎหมาย และให้สอดคล้องกับนโยบายการแก้ไขปัญหาแรงงานของ คสช. การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว · แรงงานต่างด้าวมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุกมิติของการพัฒนาประเทศไทย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบในระยะยาว ร่วมกับประเทศต้นทางของแรงงาน โดยให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ · สนับสนุนการดำเนินงานของ คสช. ในการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย · จัดการแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพอย่างถูกต้อง มีความชัดเจน ลดขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับนายจ้างและลูกจ้าง และสอดคล้องต่อข้อกฎหมาย · เสนอให้ คสช. มีการประสานงานกับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในการบูรณาการแก้ไขปัญหาแรงงานร่วมกัน · เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์คัดกรอง และรับสมัครงานแรงงานต่างด้าวจากประเทศต้นทาง โดยมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชน · เสนอให้มีการจัดหาผู้จัดหาแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งประเทศ 2 ฝ่าย และกำหนดขั้นตอน อัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ อย่างชัดเจน และเป็นธรรมทั้งประเทศ 2 ฝ่าย · เสนอให้ผู้จัดหางาน มีการระบุคุณลักษณะงานของแรงงานที่ต้องการอย่างชัดเจน เพื่อลดปัญหาการใช้แรงงานผิดอุตสาหกรรม และเกินความจำเป็นในอุตสาหกรรม นั้น · เสนอให้ BOI พิจารณาผ่อนผันการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือต่อไป จนกว่าจะมีนโยบายในการพัฒนาแรงงาน ต่างด้าวในระยะยาว การแก้ไขปัญหาแรงงานประมง · เสนอให้ผู้ประกอบการแปรรูปเบื้องต้น (ล้ง) โรงงานแปรรูปอาหารทะเล ฟาร์ม เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล และเรือประมงดำเนินการตามแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices หรือ GLP) · เสนอให้มีการจัดระเบียบเรือประมงโดยการจดทะเบียนชาวประมง/ผู้ประกอบการประมง ให้มีใบอาชญาบัตรเรือ ออกใบอนุญาตการใช้เครื่องมือทำการประมงและสำรวจแรงงานประมง โดยให้การจัดระเบียบเรือประมง และการประมงทั้งหมด ให้สอดคล้องกับ แผนแม่บทของกรมประมง กระทรวงเกษตรฯ ในการอนุรักษ์รักษาธรรมชาติ · บังคับให้แรงงานประมงทั้งหมด (คนไทยและคนต่างด้าว)ไปขึ้นทะเบียนแรงงานประมงให้ถูกต้องภายใต้ศูนย์ประสานแรงงานประมง · เสนอให้มีการจัดทำฐานข้อมูลออนไลน์โดยการบันทึกข้อมูลชาวประมง/ผู้ประกอบการประมง เครื่องมือประมง และแรงงานประมง · สนับสนุนให้มีการตรวจตราเรือประมงที่เข้า – ออก จากฝั่งเพื่อตรวจสอบการทำประมง และป้องปรามการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ · เสนอให้มีการประชาสัมพันธ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคการประมง · ดำเนินการส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้นำเข้า/ผู้บริโภคสินค้าประมงของไทย ตลอดจนภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคการประมงของไทย · สนับสนุนให้กระทรวงแรงงานและกรมประมงให้จัดทำ GLP Platform · สร้างความร่วมมือในการบริหารจัดการประมงในระดับภูมิภาคอาเซียนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางทรัพยากรร่วมกัน และบริหารแรงงานในเรือประมงร่วมกัน · สนับสนุนให้มีการบริหารจัดการประมงโดยแบ่งตามขนาดเรือ เครื่องมือใช้งาน เพื่อให้การจัดการแรงงานมีความเหมาะสมชัดเจน สามารถนำไปสู่ภาคปฏิบัติได้ · สนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือการวิเคราะห์ในการบริหารจัดการประมงเพื่อติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง โดยใช้ระบบ VMS ที่สามารถให้ข้อมูลวิเคราะห์ทั้งทางการจัดการทรัพยากรทางทะเล และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ตามที่ได้ผูกพันกับอนุสัญญาต่างๆที่ทางราชการได้ลงนามไว้ · ขอให้มีการประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานทั้งเรือประมงที่เข้าฝั่ง และเรือที่กำลังทำการประมงอยู่ในทะเลทั้งในและนอกน่านน้ำไทย และให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงลูกเรือกลางทะเลทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง · สนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการประมงเชิงบูรณาการ · ภาครัฐควรจัดหาแรงงานประมงให้เพียงพอ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ