ทุนธนชาต (TCAP) กำไรก่อนสำรองเพิ่มขึ้น แนวโน้มสดใสในครึ่งปีหลัง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 21, 2014 12:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--ธนาคารธนชาต ทุนธนชาต (TCAP) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2557 กำไรสุทธิก่อนสำรองเพิ่มขึ้น 332 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.65 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในครึ่งปีหลังคาดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2557 ว่า “กำไรก่อนตั้งสำรองในไตรมาสนี้มีจำนวน 5,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 332 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.65 มาจากทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ส่งผลกระทบในการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เป็นผลให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงมาเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 2,491 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทจำนวน 1,235 ล้านบาท ลดลง 88 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.65” ขณะที่ นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ในไตรมาส 2 ปี 2557 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 2,347 ล้านบาท ลดลง 208 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.13 จากไตรมาสก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนการตั้งสำรองมีจำนวน 5,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.72 เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้น และการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สินเชื่ออื่นๆที่ไม่ใช่สินเชื่อเช่าซื้อยังคงขยายตัวดี ถึงแม้ว่าสินเชื่อเช่าซื้อหดตัวลง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่เติบโตได้ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังทั้งการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมถึง การตั้งสำรองที่มีแนวโน้มลดลง” “นอกจากนี้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกและเสนอขายตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์ Basel III มูลค่ารวมทั้งสิ้น 13,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อธนาคาร โดยตราสารดังกล่าวได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ได้ทั้งจำนวน ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 14.00 มาอยู่ที่ร้อยละ 15.59 เป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคาร และทำให้ธนาคารสามารถขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ” นายสมเจตน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ