โคคา-โคลาลงทุน 180 ล้านบาทใน ‘โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา’ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการหญิงในประเทศไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 4, 2014 09:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ก.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์ กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย อันประกอบไปด้วย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ‘โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา’ หรือ ‘Sustainable Business with Coca-Cola Program’ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 180 ล้านบาทภายในระยะเวลา 7 ปี เพื่อพัฒนาทักษะการดำเนินธุรกิจให้กับผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่าหรือแวลูเชนของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา พร้อมตั้งเป้าอบรมเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับผู้หญิงจำนวนกว่า 45,000 คน โดยเริ่มจากผู้หญิงเจ้าของร้านค้าปลีก เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจร้านค้าอย่างยั่งยืน ‘โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา’ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับโลก ‘5by20’ ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลา จำนวน 5 ล้านคน ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ภายในปีพ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โครงการนี้เริ่มต้นในปีพ.ศ. 2553 ที่การประชุมประจำปีของโครงการคลินตัน โกลบอล อินนิชิเอทีฟ และปัจจุบันได้ฝึกอบรมการดำเนินธุรกิจให้กับผู้หญิงที่เป็นทั้งผู้ผลิตวัตถุดิบ ซัพพลายเออร์ ผู้แทนจำหน่าย ร้านค้าปลีก คนเก็บบรรจุภัณฑ์เพื่อไปนำรีไซเคิล และช่างฝีมือที่ใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ของเราในการผลิตชิ้นงาน รวมกว่า 550,000 คนใน 44 ประเทศ ทั่วโลกแล้ว ในประเทศไทย โคคา-โคลาจะทำงานร่วมกับพันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ อันได้แก่ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) อย่างใกล้ชิด โดยในปีนี้จะจัดการฝึกอบรมให้กับผู้หญิงเจ้าของร้านค้าปลีกทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 7,000 คน สำหรับในระยะที่สอง จะมีการขยายหลักสูตรไปสู่ผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่ากลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบ และช่างฝีมือที่ใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ของเราในการผลิตชิ้นงาน เพื่อสร้างการเติบโตให้ห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลาอย่างยั่งยืน หลักสูตรฝึกอบรมประกอบไปด้วย การศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและคู่แข่ง การปรับปรุงการให้บริการ การจัดวางสินค้าและบริหารสินค้าคงเหลือทุกประเภทภายในร้าน ไม่เพียงเฉพาะผลิตภัณฑ์โคคา-โคลาเท่านั้น และรวมถึงการทำบัญชีรายรับรายจ่าย โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา’ ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรจากหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเอกชนอย่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะที่ปรึกษาหลักสูตรการฝึกยกระดับฝีมือ อำนวยความสะดวกสถานที่ฝึกอบรมทั่วประเทศ และมอบวุฒิบัตรร่วมเพื่อรับรองให้กับผู้ผ่านการอบรมทุกคน ส่วนทีเอ็มบี ทำหน้าที่ฝึกอบรมด้านการวางแผนและบริหารการเงิน อาทิ การทำบัญชีรายรับรายจ่าย มร.แอนโตนิโอ เดล โรซาริโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โคคา-โคลาพยายามช่วยเหลือพันธมิตรทางธุรกิจและชุมชนแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โครงการนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้กับผู้หญิงเจ้าของร้านค้าปลีก ซึ่งเป็นหัวใจหลักในธุรกิจของเรา เรามุ่งมั่นนำเสนอสิ่งดีๆ เพื่อสร้างคุณค่าร่วม รวมถึงการดำเนินธุรกิจแบบได้ประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย” “จากรายงานขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ระบุว่า มูลค่าการใช้จ่ายทั่วโลกที่เกิดจากผู้หญิงสูงถึงกว่า 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และผู้หญิงคิดเป็นกำลังแรงงานกว่าร้อยละ 66 ของแรงงานทั่วโลก แต่พวกเขากลับมีรายได้เพียงร้อยละ 10 ของรายได้รวมทั่วโลก ในขณะเดียวกัน กว่าร้อยละ 90 ของรายได้ผู้หญิงจะนำไปใช้จ่ายในครัวเรือนเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัวและสังคม ดังนั้น การเพิ่มศักยภาพของผู้หญิงให้สามารถเพิ่มรายได้จึงถือเป็นการพัฒนาความเป็นอยู่ของสังคมในภาพรวม ในประเทศไทย เราเชื่อว่าโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาจะสามารถเข้าถึงและสร้างประโยชน์ให้กับผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่าของเราจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไป” มร.แอนโตนิโอกล่าวเสริม นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคคา-โคลาในประเทศไทย นอกจากการผลิตเครื่องดื่มของโคคา-โคลาตามมาตรฐานระดับโลก และกระจายสินค้าไปสู่ลูกค้าทั่วประเทศ เรายังต้องคำนึงถึงพันธมิตรอื่นในห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจของเรา รวมถึงร้านค้าปลีกรายย่อยที่จำหน่ายสินค้าของเราให้กับผู้บริโภค ซึ่งร้านค้าเหล่านี้มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เราดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในประเทศไทย” “ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ มีลูกค้าที่เป็นร้านค้าปลีกรวมกว่า 250,000 ร้านค้า โดยกว่าร้อยละ 60 มีผู้หญิงเป็นเจ้าของร้าน ดังนั้น การเพิ่มศักยภาพความรู้ทางธุรกิจรอบด้านให้กับคนกลุ่มนี้จะช่วยสร้างคุณค่าร่วมให้กับธุรกิจและสังคม” นายพรวุฒิกล่าว นายนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า “ร้านค้าปลีกเบ็ดเตล็ดหรือ “โชว์ห่วย” ต่างได้รับผลกระทบจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของร้านค้าสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกสมัยใหม่ หลายร้านมีการปรับ กลยุทธ์เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ แต่ก็มีหลายร้านต้องปิดตัวลงเพราะไม่สามารถปรับตัวได้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เล็งเห็นว่าควรมีการพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิงให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และหากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนก็คงจะสำเร็จมากยิ่งขึ้น จึงผนึกกำลังกับกลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลาในประเทศไทยในโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสมานฉันท์ของภาครัฐและเอกชน ในการจะขับเคลื่อนกลไกด้านแรงงานให้มีศักยภาพและความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 อีกทั้งยังส่งเสริมบทบาทของสตรีให้มีความโดดเด่น” นางปริยา จีระพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการอาวุโส บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หาดทิพย์ได้เริ่มโครงการนำร่องไปแล้วเมื่อเดือน มิถุนายน ในปี 2557 จนถึงวันนี้มีผู้หญิงที่ผ่านการอบรมแล้วจำนวนกว่า 1,300 คน จาก 5 จังหวัดในภาคใต้ ในภาพรวม ผู้ผ่านการอบรมต่างรู้สึกพึงพอใจและมีผลตอบรับที่ดีต่อโครงการ โดยเห็นว่าหลักสูตรของโครงการออกแบบมาเพื่อให้พวกเขาสามารถนำไปใช้ในธุรกิจได้จริง เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภครายบุคคล เพื่อสร้างจุดขายให้โดดเด่นและตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้ร้านค้าของตนสามารถดำเนินธุรกิจได้อยู่บนผลกำไร” นายปพนธ์ มังคละธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ความสามารถในการวางแผนและบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพคือหนึ่งในหัวใจหลักของความสำเร็จในธุรกิจ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา โดยทีเอ็มบีได้เริ่มฝึกอบรมการวางแผนและบริหารการเงินให้กับผู้หญิงเจ้าของร้านค้าปลีกในภาคใต้ไปแล้ว เรามอบหมายให้ผู้จัดการภาคและผู้จัดการเขตพัฒนาธุรกิจ SME ในภาคใต้เป็นผู้พูดคุยให้ความรู้ ผ่านหลักสูตรตั้งแต่การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเบื้องต้น สร้างความเข้าใจในรูปแบบของกระแสเงินสดและความต้องการทางการเงินภายในร้านค้าปลีกของตนเอง ไปจนถึงการเตรียมตัวขอสินเชื่อธุรกิจ และการใช้สินเชื่อให้ถูกประเภท ด้วยมุ่งหวังที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจของร้านค้ารายย่อย ที่สามารถเติบโตไปเป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ