บล.ทรีนีตี้ มองดัชนีหุ้นไทยขาดปัจจัยกระตุ้นในช่วงสั้น แนะขายลดพอร์ทจังหวะดัชนีรีบาวน์

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 6, 2014 16:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง บล.ทรีนีตี้ มองดัชนีพักฐานระยะสั้น เหตุไร้ปัจจัยบวกจากต่างประเทศ แนะนักลงทุนขายลดพอร์ทในช่วงรีบาวน์ เหลือสัดส่วนระดับ 30% ก่อนหาจังหวะอ่อนตัวเข้าสะสม 10 หุ้นเด่นประจำบทวิเคราะห์ The Big Picture เดือนตุลาคม ได้แก่ INTUCH, THCOM, LH, LHBANK, ASP, TICON, CPF, SVI, MACO, SAWAD นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ว่าได้ปรับมุมมองการลงทุนเข้าสู่ภาวะ "ระมัดระวัง" เนื่องจากคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยบวกจากต่างประเทศในระยะสั้น หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 6.0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2551 ส่งผลให้มีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายเร็วกว่ากำหนด และจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะรุ่นอายุสั้น ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) มีโอกาสจะปรับตัวแข็งค่าต่อไปในระยะยาว (Secular trend) หลังปริมาณสถานะ Long position ของ Hedge fund ในค่าเงิน USD ณ ขณะนี้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสถิติที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่รวมถึง SET Index มีโอกาสปรับตัวลง 3.9% และ 2.2% ในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากนี้ “จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น บวกกับค่าเงิน USD ที่มีแนวโน้มแข็งค่า เชื่อว่าจะมีผลต่อการเร่งปิดสถานะการกู้เงิน USD เพื่อนำไปลงทุนยังต่างประเทศ (USD carry trade) และโยกเงินกลับสู่สหรัฐฯ เร็วขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทย ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมาต้องถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก หลังไม่มีความชัดเจนของมาตรการการเข้าซื้อตราสาร ABS และ Covered bond” นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยกดดันจากมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นที่อยู่ในระดับสูงแล้ว ทำให้ภาวะการลงทุนช่วงนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นและดัชนี SET Index มีโอกาสอ่อนตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเข้าใกล้การประชุม FOMC วันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ดีมองว่าการอ่อนตัวลงจะไม่ลึกมากอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ระดับ 1,520 – 1,540 จุด เนื่องจากการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ทำให้โอกาสที่จะขายหุ้นไทยออกมาอีกในปริมาณสูงมีน้อย ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงเหมือนหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมองว่าจะเริ่มมีเม็ดเงิน LTF/RMF ไหลเข้ามาในตลาดมากขึ้น หลังจากที่ในช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมามีการไหลออกสุทธิของเม็ดเงิน LTF ประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในไตรมาสที่ 4 นี้จะมีการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF กว่า 20,000 – 25,000 ล้านบาท รวมถึงคาดว่ากองทุน Trigger fund เตรียมเปิดกองใหม่แถวบริเวณดัชนีระดับ 1,520-1,540 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หาจังหวะลดพอร์ทการลงทุนในช่วงที่ SET Index มีการปรับตัวขึ้น (Rebound) โดยลดสัดส่วนการลงทุนเหลือระดับประมาณ 30% หรือต่ำกว่า มองว่าจุดการเข้าสะสมหุ้นที่น่าสนใจอีกครั้งได้แก่ช่วงระดับดัชนีบริเวณ 1,520-1,540 จุดหรือในช่วงหลังการประชุม FOMC ปลายเดือนนี้ ซึ่งหุ้นที่แนะนำให้สะสมในช่วงตลาดปรับตัวลง ได้แก่หุ้นแนะนำ 10 บริษัทประจำบทวิเคราะห์ The Big Picture เดือนตุลาคม ได้แก่ กลุ่มสื่อสารที่ยังคง Laggard ตลาด ได้แก่ INTUCH, THCOM, กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เตรียมเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี ได้แก่ LH, LHBANK, กลุ่มหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับ ได้แก่ ASP, TICON, กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ CPF, SVI และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคที่ฟื้นตัว ได้แก่ MACO, SAWAD

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ