ทีวี ธันเดอร์ ยื่นไฟลิ่งกับก.ล.ต. เสนอขายไอพีโอ 200 ล้านหุ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 16, 2014 11:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVT ผู้ประกอบธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์และรายการบันเทิงชั้นนำ และให้บริการรับจ้างผลิตรายการและจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงธุรกิจบริหารศิลปิน และผลิตและจำหน่ายหนังสือพอคเก็ตบุ้คได้ยื่นไฟลิ่งกับ ก.ล.ต. แล้วเพื่อนำเสนอขายหุ้นไอพีโอ200 ล้านหุ้น โดยคาดหวังจะเป็นผู้นำธุรกิจด้านการผลิตคอนเท้นท์ และผลิตรายการที่มีมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นางภัทรภร วรรณภิญโญ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVT เปิดเผยว่าทางบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และ ได้ยื่นแบบคำขอให้รับหุ้นสามัญของบริษัทฯ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยขออนุญาตเสนอขายไอพีโอจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท นางภัทรภร กล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจุบัน บมจ. ทีวี ธันเดอร์ มีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 200,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 800,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้วเท่ากับ 150,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท นายภูษิต ไล้ทอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ว่าเพื่อผลักดันให้บริษัทฯก้าวไปเป็นผู้นำธุรกิจด้านการผลิตคอนเท้นท์ และผลิตรายการที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีบริษัทย่อย 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ครีเอทีส มีเดีย จำกัด หรือ CMED และบริษัท อีเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือ EM ซึ่งแต่ละบริษัทมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน โดยบริษัท CMED มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจเพื่อผลิตและรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ที่ซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศ (International Format) อาทิ รายการเทค มี เอาท์ (ไทยแลนด์) รายการแดนซ์ ยัว แฟท ออฟ และรายการไทยแลนด์ แดนซ์ นาว เป็นต้น ส่วน EM มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจ โดยทำหน้าที่บริหารศิลปิน เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของบริษัทฯ และ CMED โดยบริษัทฯ มีรายได้หลักจากค่าโฆษณา คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 85 % ของรายได้ทั้งหมด และประมาณ 14 % มาจากการให้บริการ ซึ่งเกิดจากการรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์? และอีกประมาณ 1% เป็นรายได้จากการบริหารศิลปิน และขายหนังสือ นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. ทีวี ธันเดอร์ กล่าวว่า บริษัทฯได้ยื่นไฟลิ่ง ของ บมจ. ทีวี ธันเดอร์ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญเพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ รวมไปถึงการเพิ่มศักยภาพเพื่อให้ บมจ. ทีวี ธันเดอร์ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านผู้ผลิตคอนเท้นท์และผลิตรายการทีวีภายใต้มาตราฐานสากล “ผมเชื่อว่า TVT จะได้รับการตอบรับที่ดีในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วยองค์ประกอบของบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานในการทำธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์และรายการบันเทิง และให้บริการรับจ้างผลิตรายการและจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงธุรกิจบริหารศิลปิน และผลิตและจำหน่ายหนังสือพอคเก็ตบุ้ค ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ต้องการยกระดับ เพื่อเป็นผู้นำในการผลิตคอนเท้นท์ ผลิตรายการ ให้มีมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงการต่อยอดธุรกิจ ที่มีการบริหารศิลปิน ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้ธุรกิจของบริษัทมีความน่าสนใจต่อนักลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นายสมภพกล่าว นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ. ทีวี ธันเดอร์ ถือว่ามีจุดแข็งและจุดเด่นในการทำธุรกิจค่อนข้างมาก สะท้อนได้จากปัจจุบันมีรายการโทรทัศน์ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ชมด้วยดี อาทิ รายการเทคมีเอาท์ไทย์แลนด์ รายการมาสเตอร์คีย์ เวทีแจ้งเกิด เป็นต้น เนื่องจากประสบการณ์ของผู้บริหารและทีมงานที่มีคุณภาพในการคิดสร้างสรรค์งานออกมาดังนั้นจึงเชื่อว่าเมื่อบริษัทได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และเชื่อว่าเป็นบริษัทหนึ่งที่มีความน่าสนใจในการลงทุนค่อนข้างมาก โดยในปี 2556 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 634.50 ล้าน มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 21.95 และอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 8.97 ทั้งนี้ในงวด 9 เดือนปี 2557 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 444.21 ล้านบาท และยังคงสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิได้ดีที่ร้อยละ 19.22 และร้อยละ 3.96 แม้ว่าในปี 2557 จะมีการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยทางการเมืองก็ตาม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ