CGSเตือนตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ผันผวน/เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง ดัชนีมีโอกาสร่วงลงมาทดสอบแนวรับ 1,550จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 4, 2015 14:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--IR network CGSเตือนตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ผันผวน/เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางดัชนีมีโอกาสร่วงลงมาทดสอบแนวรับ 1,550จุด แนะการปรับขึ้นของ SET อาจไปได้ 1,650 จุด แต่เน้นลดพอร์ตการลงทุนจับตาผลประกอบการ Q4/57 กลุ่มอสังหาฯมาแรง! ชิ้นส่วนยานยนต์เริ่มฟื้น บล.คันทรี่ กรุ๊ป ผ่ามุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. เตือน SET Index เสี่ยง”ผันผวน” ดัชนีมีโอกาสร่วงลงมาทดสอบแนวรับ 1,550 จุด เหตุเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง แม้จะได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เรี่มทรงตัว แนะลดพอร์ตลงทุน “รณกฤต สารินวงศ์”เตือนระมัดระวังการลงทุน เฟ้นหุ้นที่มีผลประกอบการในQ4/57 โดดเด่นเข้าพอร์ต ระบุกลุ่มอสังหาฯน่าสน เหตุเป็นช่วงไฮซีซั่น แนะลงทุน SPALI , AP , PS , QH กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เริ่มฟื้น แนะทยอยสะสม STANLY, SAT เข้าพอร์ต นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยถึงมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ว่า ปัจจัยการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อตลาดในเชิงลบ หากไม่นับความคาดหวังว่า QE ของยูโรจะดึงเม็ดเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นแล้ว เรายังไม่เห็นปัจจัยบวกใดเด่นชัด ที่จะทำให้ตลาดหุ้นในระยะนี้น่าลงทุนอย่างสมเหตุผล ขณะที่แนวโน้มทางเทคนิคแสดงความเสี่ยงของแนวโน้มปรับตัวลงเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในภาวะ Overbought จึงควรลงทุนอย่างระมัดระวัง และมีหุ้นในระดับที่ไม่มากเกินไป อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นในเดือนนี้จะเน้นไปยังหุ้นผลประกอบการเด่นเป็นหลัก สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่กระทบบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนก.พ. นายรณกฤต กล่าวว่า ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น แต่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง โดยเงินเฟ้อประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ทั้งสหรัฐ เยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ชะลอตัว ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ตระหนักถึงเงินเฟ้อคาดการณ์ที่อาจลดลงในระยะกลางและนำไปสู่โมเมนตัมลบต่อเศรษฐกิจโลก แม้ระยะสั้นสามารถกระตุ้นการบริโภคเมื่อราคาพลังงานลดลงขณะที่เศรษฐกิจรัสเซียยังแย่จากราคาพลังงานที่ลดลง และค่าเงินรูเบิ้ลเทียบดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ารุนแรงในรอบหลายปี ส่วนสถานการณ์กรีซยังคงส่อเค้าวุ่น โดยพรรคไซรีซ่า นำโดยนายอเล็กซิส ซีปราส ที่มีนโยบายต้องการผ่อนคลายการชำระหนี้ของกรีซที่เข้มงวดและจะทำการเจรจากับเจ้าหนี้ใหม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลตามที่โพลสำรวจคาด โดย กรีซมีดีลที่ต้องถึงกำหนดชำระหนี้เงินต้น มูลค่า 3.5 พันล้านยูโรในเดือนกรกฎาคม และ 3 พันล้านยูโรในเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะกลายเป็น Default risk อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักลงทุนกังวลคือ สถานการณ์อาจบานปลายให้ประเทศอื่นๆในยูโรโซนเช่นสเปน ปฎิบัติตามประเทศกรีซด้วยการขอการเจรจาใหม่กับเจ้าหนี้ สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่กระทบบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย นายรณกฤต กล่าวว่า ประเด็นDigital economy ที่กำลังพูดถึงกันในวงกว้างที่อาจหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย และโครงการลงทุนจากภาครัฐที่มีนโยบายเน้นการลงทุนเชิงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง และการลงทุนทวาย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 4% ในปีนี้ ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.5% ปัจจัยหนุนมาจากการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก ขณะที่ฟันด์โฟลว์ตลอดเดือนมกราคมที่ผ่านมามีความผันผวน โดยที่ครึ่งเดือนแรกขายสุทธิทั้งสิ้น 15,260 ล้านบาท เนื่องจากแรงขายหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงาน แบงก์ จาก LTF ที่ครบกำหนด 5 ปี พอเข้าสู่ครึ่งเดือนหลังมีแรงเก็งกำไรกลับเนื่องจากเก็ง QE ของ ECB ทำให้ยอดทั้งเดือนเป็นยอดขายสุทธิลดลงมาที่ 3,800 ล้านบาท “การประกาศมาตรการ QE ของ ECB ที่ประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมา จะใช้อัดฉีดเริ่มในเดือนหน้า มาริโอ ดรากิ ประธาน ECB ประกาศแผนเข้าซื้อพันธบัตร 6 หมื่นล้านยูโร ต่อเดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 ถึง กันยายน 2559 เป็นขนาดทั้งสิ้น 1.1 ล้านล้านยูโร ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แผนเข้าซื้อพันธบัตรครั้งนี้ถือว่าเข้มงวดและนักเศรษฐศาสตร์กังวลว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจยูโรโซนได้มีประสิทธิภาพนัก ที่ต้องจับตาไปเรื่อยๆ คือตัวเลขเงินเฟ้อในแต่ละเดือนหลังจากที่อัดเงินเข้าระบบ”นายรณกฤตกล่าว สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนก.พ. นายรณกฤต กล่าวว่า จากกการวิเคราะห์ทางเทคนิค หลังจากที่ดัชนีพยายามขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุด สร้างยอดขึ้นเป็น 3 ครั้ง หมายถึงโอกาสของการปรับตัวลงกำลังจะเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน อย่างไรก็ตาม momentum ของแรงซื้อยังมีโอกาสผลักดันให้ SET เด้งตัวได้ถึง 1650 จุดได้ แต่ upside มีเพียง 3% ขณะที่มีสัญญาณขายแอบแฝงในทางเทคนิคต้องระวังอยู่แบบ divergence ใน RSI และ MACD “ในทางทฤษฏี เราแม้เห็นสัญญาณบวก แต่การเกิด Divergence และการเกิด Triple top ในกราฟแท่งเทียน จะมีความเสี่ยงของการผันผวนหนัก โดยอาจลงมายัง 1,550 จุดหรือต่ำกว่าได้ แนะนำลดพอร์ต ในช่วงปรับตัวขึ้นและตั้งรับที่ต่ำกว่า”นายรณกฤตกล่าว กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเดือนก.พ. นายรณกฤต กล่าวว่า ควรเลือกลงทุนรายตัวอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะผลกระทบจากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/57 ที่ไม่เป็นตามคาด โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวอย่างรุนแรงในไตรมาส 4 แม้จะทราบแนวโน้มล่วงหน้า แต่แนะนำว่าควรรอผ่านช่วงผลประกอบการไปก่อน การเข้าลงทุนจึงมีความปลอดภัยกว่า อีกทั้งหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวลดลงมาตลอด 1 ปี การเข้าซื้อจึงยังคงมี upside เพียงพอ สำหรับกลุ่ม ICT แนวโน้มผลการดำเนินงานโดยรวมมีการเติบโตน่าพอใจ แม้ในไตรมาส 4/57 จะไม่ก้าวกระโดด แต่จัดเป็นกลุ่มที่ยังคงน่าลงทุนในระยะยาว เนื่องจาก 1.) ได้รับผลดีโดยตรงจากนโยบาย Digital Economy และ การเปิดประมูลคลื่น 4G ในช่วงครึ่งหลังปี 58 2.) เป็นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ขณะที่กลุ่มบันเทิง อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการให้บริการดิจิตอลทีวี ทำให้รายได้ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้ผลประกอบการ Q4 น่าจะยังคงอ่อนแออยู่ หากแต่หุ้นในกลุ่มนี้มีแรงเก็งกำไรประเด็น Rating ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้น WORK, RS, MONO และ GRAMMY ส่วนกลุ่มรับเหมาฯ ไตรมาส 4/57 ผลประกอบการออกมาไม่น่าที่จะมีเซอร์ไพรส์อะไรเนื่องจากรายได้จะยังรับรู้งานในมือเดิมเป็นหลัก ยังไม่มีงานขนาดใหญ่เข้ามาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามมีประเด็นบวกเรื่องงานก่อสร้างของภาครัฐที่จะทยอยออกมาตลอดทั้งปี ทำให้สามารถเก็งกำไรหุ้นรับเหมาฯได้ต่อ โดยเน้นไปที่หุ้นรับเหมารายใหญ่อย่าง ITD ,CK , STEC เป็นหลัก กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เราคาดว่าผลประกอบการในช่วง 4/57 จะยังเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจาก 3Q57 ตามทิศทางเดียวกับปริมาณผลผลิตรถยนต์โดยรวมที่เพิ่มขึ้น 3% QoQ แต่หากเทียบกับ 4Q56 ยังเห็นการลดลงอย่างมาก ส่วนทิศทางในปี 58 คาดเห็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จึงแนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวได้และเลือก STANLY กับ SAT เป็น Top Picks ประจำกลุ่ม กลุ่มอสังหาฯ ไตรมาส 4/57 จัดเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของผลประกอบการในกลุ่มนี้ เนื่องจากมีการโอนอสังหาฯ ในปริมาณที่มากกว่าทุกไตรมาสตามปกติของธุรกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มนี้มีค่า PE ที่ไม่สูงมาก และราคาหุ้นยังมีการปรับขึ้นไม่มากจนเกินไป จึงเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน เน้นไปยังบริษัทหลักเช่น SPALI , AP , PS , QH

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ