กรุงเทพ--10 ก.ค.--กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาสถานบริการที่อยู่ในเมืองหน้าด่านของประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย โดยทุ่มงบกว่า 60 ล้านบาท สร้างอาคารรองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินทุกประเภท และจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพิ่มศักยภาพทางบริการรักษาพยาบาลสูงขึ้น พลเรือตรีนายแพทย์วิทุร แสงสิงแก้ว ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดตึกอุบัติเหตุและหออภิบาลผู้ป่วยหนัก ของโรงพยาบาลเบตง จังหวัดยะลา เมื่อเช้าวันนี้ว่า เนื่องจากอำเภอเบตง จัดเป็นเมืองหน้าด่านของประเทศไทยที่อยู่ติดกับประเทศมาเลเซีย และมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายที่จะพัฒนาโรงพยาบาลเบตง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ให้มีศักยภาพทางด้านการจัดบริการทางการแพทย์ และอยู่ในระดับที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยด้วย สามารถแก้ปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีงบประมาณ 2537 กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรงบประมาณจำนวนประมาณ 60 ล้านบาท ก่อสร้างตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินและหอผู้ป่วยที่มีอาการหนักอยู่ในขั้นวิกฤติ มีขนาด 2 ชั้น สร้างแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2540 โดยชั้นล่างได้จัดให้เป็นหน่วยบริการฉุกเฉินทั้งหมด มีห้องช่วยฟื้นคืนชีพ ห้องใส่เฝือก ห้องล้างท้อง ห้องตรวจภายใน ห้องผ่าตัดเล็ก และหอดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ส่วนชั้นบนจะเป็นแผนกให้บริการส่งเสริมสุขภาพอาทิ คลินิคสุขภาพเด็กดี แผนกทันตกรรม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 9 ล้านบาท ซื้อเครื่องมือและคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอีก 10 รายการ อาทิ เครื่องมือผ่าตัดช่องท้องด้วยกล้องวิดีทัศน์ 1 เครื่อง เครื่องช่วยหายใจสำหรับเด็กโต เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ เครื่องปั่นแยกส่วนประกอบของเลือด เครื่องส่องตรวจหลอดลม หลอดอาหาร เครื่องอบฆ่าเชื้อเครื่องมือแพทย์ด้วยแก๊ส เครื่องตรวจสมรรถภาพการได้ยิน เครื่องดึงคอ และสะโพก ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้งานบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเบตง มีศักยภาพสูงขึ้น ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปรักษาที่ตัวเมืองยะลาอีกต่อไป ทางด้านแพทย์หญิงทิพย์วดี บำเพ็ญบุญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลเบตงได้พัฒนาระบบบริการของโรงพยาบาลให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น โดยได้นำระบบบริการชนิดเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One Stop Service) มาใช้ เริ่มต้นที่การบริการตรวจสุขภาพประจำปีของผู้ที่ประกอบอาชีพในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยทำบัตรนัดล่วงหน้า และจัดทีมสุขภาพประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เอกซเรย์ เจ้าหน้าที่ทางห้องชันสูตร ให้บริการครั้งเดียวเบ็ดเสร็จทั้งหมด ผู้รับบริการไม่ต้องเดินไปติดต่อจุดอื่นอีก ซึ่งวิธีนี้สามารถลดขั้นตอนของการยื่นบัตรและการรอผลทางห้องปฏิบัติการโดยทางโรงพยาบาลจะแจ้งผลการตรวจไปยังผู้รับบริการเอง ถ้ามีความผิดปกติ ก็จะมีการติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ๆ จากการประเมินผลพบว่าผู้รับบริการพอใจเป็นอันมาก ซึ่งทางโรงพยาบาลจะได้นำมาปรับใช้กับผู้รับบริการกลุ่มอื่นต่อไป--จบ--