‘นิด้า’ แนะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% หันเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลมากกว่า

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 8, 2015 14:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองสัญญาเศรษฐกิจยังดิ่งหัว หลังเจอปัจจัยลบทั้งเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน ผลการจัดภาษีต่ำกว่าเป้าและอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดต่ำลง เชื่อลดดอกเบี้ยนโยบายช่วงนี้ไม่หนุนให้เกิดกระตุ้นการลงทุน ขณะที่การส่งออกยังชะลอตัวต่อเนื่อง ชี้ภาครัฐจึงควรเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หรือMPA NIDA เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยไม่มีผลต่อการกระตุ้นการลงทุน เนื่องจากการบริโภคค่อนข้างซบเซา โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังติดลบ 5 เดือนติดต่อกันตั้งแต่ต้นปีจากร้อยละ -.04 ในเดือนมกราคม ปรับเพิ่มมาเป็น -1.3 ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงอาจกล่าวได้ว่าสภาวะดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงเข้าข่ายภาวะเงินฝืด นอกจากนี้ ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากรในเดือนเมษายน ที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าคาดการณ์ถึงร้อยละ 5.7 และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนให้เห็นได้ว่า การบริโภคภาคประชาชนหดตัว โดยบางส่วนมีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จึงชะลอการใช้จ่าย ลดการบริโภคลง ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ขณะนี้พบว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ณ เดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 54 ลดลงจากร้อยละ 63 ในเดือนมีนาคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เอกชนยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม “เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ดังนั้นการใช้นโยบายการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนัก ซึ่งเชื่อว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ กนง.ควรคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.5 เช่นเดิม” รศ.ดร.มนตรี กล่าว ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA NIDA กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ภาครัฐควรใช้นโยบายการคลังเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า โดยต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อการลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านบาท ที่จะก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้และสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าอีกทั้งยังเป็นการเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศเพื่อรองรับการเข้าสู่ AEC ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปีหน้าอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลมีช่องทางการนำเงินมาลงทุนทั้งการก่อหนี้สาธารณะที่ยังสามารถดำเนินการได้ตามกรอบไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP ซึ่งในไตรมาส 1/58 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 43.5 จึงยังสามารถขยายตัวได้อยู่ นอกจากนี้ ภาครัฐอาจใช้ช่องทางตลาดทุนในการระดมทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะทำให้การดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานสัมฤทธิ์ผลได้เร็วและพร้อมก้าวเข้าสู่ AEC ได้อย่างเต็มศักยภาพ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ