วิจัยพบการเล่าแชร์ลูกโซ่ส่วนมากเพราะความโลภ

ข่าวทั่วไป Sunday July 12, 2015 18:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ก.ค.--วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส,อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช ประธานกรรมการ,ดร.พิสิฐ พฤกษ์สถาพร กรรมการรองผู้อำนวยการ และอาจารย์วัฒนา บุญปริตร กรรมการรองผู้อำนวยการสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในลักษณะบอกต่อ (แชร์ลูกโซ่) ของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4 - 9กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ศ.ศรีศักดิ์กล่าวสรุปว่าจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,161 คนสามารถสรุปผลได้ดังนี้ ในด้านข้อมูลทางประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 51.25 เป็นเพศหญิง ขณะที่มีกลุ่มตัวอย่างเพศชายร้อยละ 48.75 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 31 ถึง 50 ปีโดยจำแนกเป็นร้อยละ 30.58 มีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 31 ถึง 40 ปีและอายุเฉลี่ย 41 ถึง 50 ปีคิดเป็นร้อยละ 25.5 นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างประมาณหนึ่งในสามจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีซึ่งคิดเป็นร้อยละ 33.42 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง/พนักงานในห้างร้านหรือบริษัทเอกชน ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 29.54 ร้อยละ 24.55 และร้อยละ 20.84 ตามลำดับ ในด้านความสนใจต่อข่าวเกี่ยวกับการถูกหลอกลวงจากการร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ กลุ่มตัวอย่างประมาณครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50.22 ระบุว่าตนเองให้ความสนใจติดตามข่าวที่เกี่ยวข้องกับการที่มีผู้ถูกหลอกลวงจากการร่วมลงทุนในลักษณะบอกต่อหรือแชร์ลูกโซ่ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 20.67 ระบุว่าตนเองให้ความสนใจติดตามข่าวโดยตลอด โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 29.11 ไม่ให้ความสนใจติดตามเลย ในด้านพฤติกรรมการร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ กลุ่มตัวอย่างประมาณสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 66.58 ระบุว่าตนเองเคยได้รับการชักชวนจากคนรู้จัก เช่น ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพื่อร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ขณะที่มีกลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 31.27 ยอมรับว่าตนเองเคยลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ สำหรับสาเหตุสำคัญสูงสุด 5 อันดับที่ผู้คนสนใจ/หลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ตามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ต้องการหารายได้เพิ่มคิดเป็นร้อยละ 85.19 ได้รับการชักชวนจากคนรู้จัก เช่น ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงานคิดเป็นร้อยละ 82.69 ลงทุนง่ายไม่ยุ่งยาก คิดเป็นร้อยละ 79.33 คิดว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นคิดเป็นร้อยละ 75.28 และมีความน่าเชื่อถือจากการนำเอาผู้มีชื่อเสียงในสังคมมาโฆษณาจูงใจคิดเป็นร้อยละ 71.66 ในด้านความคิดเห็นต่อการลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ กลุ่มตัวอย่างเกือบสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 64.86 เห็นด้วยว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่มีมากขึ้นคือ "ความโลภ" ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 26.87 ไม่เห็นด้วย ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 8.27 ไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 47.2 มีความคิดเห็นว่าการเพิ่มโทษกับผู้เป็นเจ้าของการลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ให้หนักขึ้นจะช่วยลดปัญหาการลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ให้น้อยลงได้ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 41.95 มีความคิดเห็นว่าไม่ได้ช่วย และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 10.85 ไม่แน่ใจ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 58.48 มีความคิดเห็นว่าสมควรมีการลงโทษผู้ที่ชักชวนให้ผู้อื่นเข้าร่วมลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ถึงแม้บุคคลผู้นั้นจะได้รับความเสียหายจากการลงทุนดังกล่าวก็ตาม ขณะที่กลุ่มตัวอย่างประมาณสามในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 75.97 มีความคิดเห็นว่ารัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่ถูกกฎหมายประเภทต่างๆ กับประชาชนให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน และกลุ่มตัวอย่างประมาณครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50.04 ไม่เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ให้หมดไปจากสังคมไทยได้ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 39.88 เชื่อมั่นว่าจะสามารถแก้ไขให้หมดไปได้ ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 10.08 ไม่แน่ใจ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ