กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยทิศทางการพัฒนางานจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558

ข่าวทั่วไป Friday August 7, 2015 07:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงทิศทางการพัฒนางานจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ว่า พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและบริหารจัดการน้ำในระดับไร่นาที่เชื่อมโยงกับระบบชลประทาน เพื่อให้ที่ดินทุกแปลงได้รับประโยชน์จากโครงการชลประทาน และสาธารณูปโภคอย่างทั่วถึง นอกจากนั้น พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจัดระบบชลประทานจากทางน้ำชลประทานไปใช้ในการเพาะปลูก ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน มีรูปแบบใกล้เคียงกับการจัดรูปที่ดิน แต่มีบทบัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ไม่เหมาะสมแก่กาลสมัย ไม่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จึงยกเลิกพระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 จึงได้มีการปรับปรุงกระบวนการในการจัดทำคันและคูน้ำเสียใหม่ ให้เป็นการดำเนินการในรูปแบบการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม และเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 เพื่อบูรณาการให้เป็นกฎหมายที่รัฐสามารถนำไปพัฒนาโครงสร้างภาคการเกษตรให้สมบูรณ์ สามารถวางแผนการจัดระบบชลประทานในระดับไร่นาเพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และเหมาะสมแก่การเกษตร อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งสาระสำคัญที่เพิ่มเติมขึ้นในกฎหมายใหม่ คือ การจัดทำแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน โดยกฎหมายใหม่กำหนดให้สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง จัดทำแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน ประกอบด้วย แผนแม่บทการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม และแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน และการมีส่วนร่วมของเกษตรกร เจ้าของที่ดินและชุมชน โดยให้เข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ โดยงานจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม (งานคันและคูน้ำเดิม) กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยการคัดเลือกคณะกรรมการจัดระบบน้ำชุมชน และแต่งตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามาร่วมกับกรมชลประทานในการพิจารณาจัดทำระบบชลประทาน โดยต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินในการจัดทำระบบชลประทานผ่านที่ดินของตน ส่วนงานจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เจ้าของที่ดินในแนวเขตแผนผังโครงการจัดรูปที่ดิน ต้องแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ ไม่น้อยกว่าสามในสี่ และมีจำนวนพื้นที่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง โดยต้องมีการคัดเลือกคณะกรรมการจัดรูปที่ดินชุมชน และแต่งตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาแผนผังโครงการจัดรูปที่ดินก่อน จึงจะดำเนินการจัดรูปที่ดินได้ สำหรับผลประโยชน์จากกฎหมายใหม่ ได้แก่ 1) รัฐสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายการก่อสร้างงานจัดระบบน้ำและงานจัดรูปที่ดิน โดยไม่จำกัดวงเงิน 2) เกษตรกรสามารถเป็นผู้ร้องขอให้ดำเนินการจัดทำงานจัดระบบน้ำและจัดรูปที่ดินได้ โดยได้ระบุไว้ในกฎหมาย 3) มีโอกาสสูงที่จะได้รับการสนับสนุนให้ดำเนินการ เนื่องจากกฎหมายระบุให้จัดทำแผนแม่บทระยะยาว และต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี 4) มีโอกาสสูงที่จะได้รับการพัฒนาที่ดิน ส่งเสริมการผลิตและการตลาด เนื่องจากเป็นไปตามนโยบายของรัฐ เช่น มีความสอดคล้องกับนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ 5) ในการสร้างระบบน้ำ เกษตรกรอาจร้องขอให้มีการก่อสร้างถนนหรือทางลำเลียงในไร่นา เช่นเดียวกับการจัดรูปที่ดิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะอำนวยความสะดวกแก่เจ้าของที่ดินในการประกอบการผลิตและการขนส่งลำเลียง พื้นที่ที่มีความพร้อม มีศักยภาพในการผลิตสูง เป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนพืชผลการผลิต 6) หน่วยงานส่วนต่าง ๆ สามารถบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพหรือส่งเสริมการรวมกลุ่มได้ และในภาวะบุคลากรขาดแคลน กลุ่มผู้ใช้น้ำหรือสหกรณ์ผู้ใช้น้ำรับภาระหน้าที่ไปดำเนินการเองได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ทางการเกษตร 149,240,058 ไร่ โดยจัดการเป็นพื้นที่ชลประทานแล้ว 30,257,545 ไร่ และมีพื้นที่รับประโยชน์ 12,605,261 ไร่ รวมเป็นเป็นพื้นที่เป้าหมาย 42,862,806 ไร่ พัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานในไร่นา 12,849,402 ไร่ ณ ปี 2558 แยกเป็นพัฒนางานจัดรูปที่ดิน 1,994,309 ไร่ และพัฒนาเป็นงานจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม 10,855,093 ไร่ อีกทั้งยังมีพื้นที่เป้าหมายที่จะพัฒนาต่อไป 30,013,404 ไร่ มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาชลประทานในไร่นาอีก 5,762,428 ไร่ แยกเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมพัฒนาเป็นงานจัดรูปที่ดิน 1,202,013 ไร่ และพื้นที่ที่มีความเหมาะสมพัฒนาเป็นงานระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม 4,560,415 ไร่

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ