ทีวีไกด์รายการ "ปากโป้ง" เปิดใจ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” จากหนุ่มนักดนตรีเพลย์บอย สู่การพลิกผันตัวเป็นเกษตรกรปลูกข้าว!!!

ข่าวบันเทิง Monday September 7, 2015 10:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน คงไม่มีใครไม่รู้จักวงดนตรี"สไมล์บัฟฟาโล่" ที่มีเพลงแจ้งเกิดอย่าง "ดีเกินไป" และ "ฟ้ายังฟ้าอยู่" กลายเป็นเพลงที่โด่งดังที่สุด ในยุคที่รุ่งเรืองนี้ พวกเขาก็มีผลงานเพลงตามมาอีกมากมาย ก่อนที่สมาชิกจะแยกวงออกไป แต่มือกลอง "เชษฐ์ - วรเชษฐ เอมเปีย" กลับเลือกหนทางชีวิตที่แตกต่างออกไป โดยการทิ้งชีวิต ยุคเฟื่องฟู ทิ้งชื่อเสียง ตัดสินใจหันหลังให้วงการ เดินหน้าสู่ชีวิตที่เรียบง่าย โดยยึดอาชีพเกษตรกรพอเพียง เมื่อเวลา 10.00น. วันที่ 4 ก.ย.58 นาย "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" อดีตนักดนตรีชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นชาวนาปลูกข้าว และใช้ 3 หลักในการดำเนินชีวิต ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา ได้มาพูดคุยเปิดใจถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต เกือบสิบปีที่หันหลังให้วงการ ในรายการ "ปากโป้ง" ทางช่อง 8 โดยมี "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" และ "เข็ม ลภัสรดา ช่วยเกื้อ" เป็นพิธีกรว่า วันนี้คุณทำอะไร? ทำไมถึงได้ไปทำนาได้ล่ะ? คือทุกวันนี้ผมทำนาอยู่นะครับ ทำนา ทำสวน เกี่ยวกับการเกษตรอินทรีย์ทั้งหมดเลย คือพวกนี้ผมคิดว่ามันเป็นความจริงใจที่สุด มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด หมายความว่าเราเอง เราสามารถเรียนรู้ธรรมชาติ คือผมจะบอกตรง ๆ เลยว่า ตายไปเราก็เอาอะไรไปไม่ได้เลยสักบาทเดียว ทรัพย์สินอะไรก็เอาไปไม่ได้เลย จุดเปลี่ยนที่ทำให้ "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" ทิ้งวงการ ทิ้งชื่อเสียงคืออะไร บางคนเขาผิดหวัง บางคนเขาอกหัก แต่สำหรับคุณคืออะไร? คือแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่างผมนี่เจอแบบที่ทุกคนเจอ มารวมกันเลย ทั้งอกหัก ผมมีทุกเรื่อง ทุกอย่าง ตอนนั้นมีแฟน ตอนสมัยก่อนผมมีแฟน ทีนี้ก็เลิกรากันไป แต่ว่าตอนนี้ก็มีน้องคนนึงที่ผมคิดว่าเป็นน้องฟ้า ที่เคยเป็นห่วงเป็นใย จนผมเป็นเงาใต้ฟ้าด้วยซ้ำ เพียงแต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง มีคนที่ดูแลห่วงใย ผูกพันกันทางใจ แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งจุดเปลี่ยนที่ไปทำนา ทำไร่ ทำสวนเนี่ยก็คือ มันคือจุดที่ว่า เริ่มต้นมาจาก ผมมาเยี่ยมแม่ มาดูแลแม่ตอนเจ็บป่วย ตอนนั้นผมยังอยู่กรุงเทพอยู่ มีกิจการอะไรเยอะแยะไปหมดเลย มีเปิดโรงเรียนสอนดนตรี มีการสอนนักเรียนทั่วประเทศ มีสอนอยู่โครงการทูบีนัมเบอร์วันด้วย ทางโครงการก็คือส่งปมไปสอนอยู่ทุกจังหวัดเลย และสุดท้ายก็มาสอนของตัวเองอีก ก็เยอะแยะไปหมด หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับบันเทิงด้วย พอดีคุณแม่ป่วย ผมก็กลับไปเยี่ยมแม่ คือเปอร์เซ็นที่เขาจะรอดมันไม่มีแล้ว ก็เลยบนแบบบวชแก้บนให้แม่ ก็ขอให้รอดแล้วจะบวชให้ สุดท้ายก็รอดมา ทีนี้ระหว่างที่แม่ฟื้นมาแล้ว ก็ยังอยู่โรงพยาบาลหลายเดือนมาก อยู่ที่โรงพยาบาลชลบุรี ซึ่งผมก็ไปทุกวัน ๆ หลายเดือนมาก เลยได้เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความสุขสึกคือมันก็เป็นทุกข์หมดอะ เกิดก็ทุกข์ ใครบอกว่าเกิดไม่ทุกข์ สมมุติว่าใครมีลูกเนี่ย ถ้าลูกท่านเกิดก็เป็นห่วง ออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องเลี้ยงดู ลำบากกัน แก่ก็เป็นทุกข์อยู่ละ เป็นนู่น เป็นนี่ เจ็บ ป่วย สังขารเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา นี่ก็มีทุกคน ตายก็มีอยู่แล้ว ยังไงทุกคนก็หนีไม่พ้น ตอนนั้นไปเจอในโรงพยาบาลอะ มันมีครบเลย เห็นสัจธรรม ผมก็เลยรู้สึกว่าเรามีอะไรทุกอย่าง มันเอาไปไม่ได้เลย ขอแค่ว่าตอนมีชีวิตอยู่อะ ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้กี่วัน เราไม่รู้วันตาย เราก็เลยสละตนซะ ในเรื่องการที่เราเลิกอะไรต่าง ๆ พยายามลด ในเรื่องกิเลส แต่ก่อนผมซื้อรถ 5 คัน ซื้อทีเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ขายหมด เอาเงินไปทำประโยชน์ บ้านอยู่หลังละหลายล้านเลย โรงเรียนอีก ผมไม่เอาเลย ที่ขายบางส่วนบางอย่าง ก็เพื่อมาดูแล ปรับสถานที่ที่จะมาทำนา ที่พนัสนิคม เราเอาเงินมาปรับเปลี่ยนสถานที่ใช้เงินไม่ถึงล้าน อย่าคิดว่าเรามีตัง หมายถึงว่าเราทำจากที่เราทำแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ เราเอาเงินที่เคยมีมาสร้างมูลค่าให้มัน อย่างต้นไม่ผมเนี่ยเยอะมาก มาปลูกเป็นป่า จนมือแตก บางทีเราออกไปงานคอนเสิร์ต แล้วมีคนมาจับมือเนี่ย มันยิ่งกว่าเท้าอีกนะ มือผมเนี่ย มันสากด้านมาก หันมาทำนา ชีวิตพอเพียง กางมุ้งนอนนี้นานหรือยัง? ผมอยู่เป็นสิบปีแล้วเพียงแต่ไม่มีใครรู้ เพิ่งจะมารู้กันเนี่ย มีโซเชี่ยลที่เอาไปลง คนก็เลยรู้กัน พอตอน 30 กว่า ๆ ก็ทิ้งทุกอย่าง คือตัวผมเองเมือ่ก่อนซื้อรถ ซื้อบ้าน มีโรงเรียนสอนดนตรี มีแฟน แต่วันหนึ่งได้พบสัจธรรมชีวิตโดยการเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ได้ไปเยี่ยมคุณแม่ ทำให้ชีวิตคิดได้ว่า คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ก็เลยกลับไปขายโรงเรียน ขายรถ ขายบ้าน ขายทุกอย่าง ประกอบกับแฟนก็เลิกกันด้วย ทำให้เราทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะมาฝังตัวกับธรรมชาติ มาอยู่ที่พนัสนิคม เป็นสิ่งที่ผมอยู่ใกล้บ้านแม่ ได้ดูแลใกล้ชิด และญาติพี่น้องเวลาวันหยุดก็จะมาดูแล หากันที่บ้าน ประกอบกับธรรมชาติเยอะแยะ บางทีก็ยังมีแฟนคลับที่เหนียวแน่นในเฟสบุ๊คของผม ก็จะไปเที่ยวบ้านผมด้วย บางทีผมจัดมินิคอนเสิร์ต พอเงินได้เท่าไหร่ปุ๊บ เราก็จะเอาไปมอบให้กับสถานเลี้ยงสุนัขจรจัดบ้าง และก็สร้างอนามัยเสร็จเป็นอลายอย่าง หมายถึงว่าอนามัยที่ไม่เกี่ยวกับงบหลวง ที่เขาไม่มี เราก็เข้าไปช่วยสร้างจนเสร็จ สำเร็จหมด ตอนนี้ก็กำลังมีคอนเสิร์ตในวันที่ 5 กันยายน 2558 นี้ ที่จัดที่โรงละครแห่งชาติ มีศิลปินต่าง ๆ ที่มาร่วมทำบุญหมด เงินทุกบาททุกสตางค์ก็จะสร้างวัด หมายถึงตัวผมก็สละตนหมดละ และพี่ ๆ เขาก็จะมาร่วมช่วยในงานนี้ด้วย ข้อคิดในการใช้ชีวิตตอนนี้คืออะไร ? ผมจะใช้ 3 หลักนี้ ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา มันคือคำสอน เพราะสมัยนี้ผมต้องเอาทางธรรมมะมาควบคุมไปด้วย ทำอะไรแล้วต้องมีสติไว้ตลอด ต้องมีธรรมะมาบวกในการใช้ชีวิตด้วย คือตัวผมเองก็ไม่ได้ธรรมะธรรมโมขนาดนั้น แต่จะอธิบายให้ทราบว่า เอามาประกอบให้ตัวเองมีสติ ให้เพื่อเป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่ผิดพลาดอีกแล้ว แต่ก่อนมันเคยล้ม เจ๋ง ซื้อรถโดยไม่มีสติ กิเลสเยอะ ส่วนธรรมชาติของผมเนี่ยคือ มีธรรมชาติ ตัวเราต้องเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ว่าจะเล่นดนตรีหรืออะไรก็ต้องเป็นธรรมชาติ คือมันเลียนแบบธรรมชาติหมด เครื่องดนตรีทุกชนิดอะเลียนแบบเสียงธรรมชาตหมด แล้วเราก็ปลูกป่าธรรมชาตให้เราอยู่กับอากาศดี ๆ มีธรรมชาติ ตรงนี้คิขาดไม่ได้นะ ถ้าคนขาดธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็จะลงโทษเราหมดละ น้ำท่วมบ้าง แผ่นดินไหวบ้าง เกิดขึ้นเต็มไปหมด เพราะเราทำลายธรรมชาติ อย่างบ้านผมก็จะมีตัวเงินตัวทอง บางคนเขาเห็นก็ไปทำลาย ทำร้ายเขา มันไม่ได้ เพราะตรงที่มีความสมบูรณ์เขาก็จะไปอยู่กันบ้าง ที่บ้านผมเยอะแยะ มีหมาแมวเยอะแยะ คนที่บ้านเขาก็จะเอามาปล่อย สมมุติเรานอนอยู่ นอนเปลอยู่ เขาก็จะโดดมาอยู่บนตัวผม อย่างหมาแมวอะไรแบบนี้ อย่างถ้ามีงูมา ก็จะไม่มีใครมาใกล้ตัวผมได้เลย เพราะมีพวกหมา แมว มันคุ้มครองอยู่ ใครเดินผ่านก็รู้แล้ว คือแบบนี้แหล่ะที่มันเรียกว่าธรรมชาติ ส่วนธรรมดาคือตัวเรา ใช้ชีวิตอย่างธรรมดามาก ๆ นอนกางมุ้ง ไม่จำเป็นต้องมีห้องแอร์ คือคนเราบางคนมีบ้านหลังใหญ่ ๆ แต่เราก็ต้องนอนในห้องนอน ทุกคนจริง ๆ อะ สุดท้ายก็นอนในห้องเล็ก ๆ ที่เราภูมิใจเท่านั้นล่ะ แต่ไอ้ที่เล็กกว่านั้นอีกก็คือโรงศพ คือยังไงก็ทุกคนต้องนอน อันนั้นเล็กกว่าบ้าน กว่ามุ้งอีก และอีกอย่างคนเราจะใหญ่แค่ไหน ก็เล็กกว่าโลง ก็เลยเลือกที่จะอยู่แบบธรรมดา ธรรมชาติแบบนี้ แล้วก็สวดมนต์ วันไหนที่มีเวลาเยอะ ๆ ก็จะสวดแบบยาว วันไหนมีเวลาว่างเลยก็เข้าวัดเลย ส่วนคอนเสิร์ตผมเล่นเยอะมากแต่ไม่ใช่อาชีพหลัก อาชีพหลักคือปลูกป่า ทำไร่ ทำนา ส่วนคอนเสิร์ตอะมีแต่งานบุญทั้งเลย เวลาที่จะสร้างอะไรแล้วงบหลวงไม่มี ผมก็จะมีวงดนตรีมาช่วยกัน เอาเงินไปทำบุญ คืนสังคมกัน วันนี้อยู่พนัสนิคมทำนา ทำข้าวอะไร? ทำนาทำข้าวสองอย่างมีหอมนิล และก็ไรท์เบอร์รี่ ปลอดสารพิษทั้งคู่ ข้าวส่วนใหญ่จะเป็นข้าวราคาแพงมาก และแฟนคลับผมซื้อข้าวได้ราคาถูกมาก คือข้าวผมเกี่ยวมาเท่าไหร่ กี่ตัน กี่ตันก็หมด นาตอนนี้ขยายไปเกือบ20ไร่ ทำกับอบต.วัชระ และมีน้องชายอีกคน คือช่วยกัน โชคดีตรงอบต.เขามีทุ่นแรง สมัยก่อนทำคนเดียว ทำกับน้องชายคือเหนื่อยมาก นี่พอได้ทางอบต.มาช่วย ส่วนปุ๋ยคือจะเป็นมูลสัตว์ต่าง ๆ จะไถกลบกันไว้ก่อน เราไม่ใช้เคมี อย่างหญ้าเอามาไถกลบ ไถหมกเอาไว้มันก็เน่าไป ผมใช้เวลาศึกษามาเป็นสิบปีแล้ว ทำไมต้องเป็นไรท์เบอรี่ เพราะว่า 1. ข้าวมันถูก ถ้าไปปลูกข้าวอื่นคือขาดทุนหมด ก่อนที่ผมจะประสบความสำเร็จในการปลูกข้าว คือผมเจ๊งมาเป็นสิบรอบ เจ๊งจนผมนอนมองฟ้า มองฝน ผมท้อไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ท้อจนเลิกทำมากีเที่ยวแล้วก็ไม่รู้ ก็ทำอะไรก็เจ๊งหมด ทำการเกษตรก็เจ๊งหมด คือเจ๊งทั้งประเทศ คือเศรษฐกิจไม่ดี นอกเหนือจากนาแล้วก็ทำสวนมะพร้าว มะม่วง มะกรูด และก็พืชทุกอย่างทีเป้นเศรษฐกิจ พืชต่าง ๆ ที่เป็นผลิตผลที่ขาย รายได้ก็เยอะ หลายบาท มันก็เป็นหลักล้าน แต่มันก็ไม่ใช่เป็นของผมคนเดียว ผมก็ต้องแบ่งอบต. แบ่งน้องชาย แบ่งชาวไร่ชาวนา แบ่งกันไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ