ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย” ที่ “BBB” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “BBB-” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ที่ “BBB-&r

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 2, 2015 09:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "BBB-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB-" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง "Stable" หรือ "คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เดิมที่จะครบกำหนดและใช้ลงทุนตามแผน อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement – PPA) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากอัตราการก่อหนี้ในระดับสูงของบริษัทและการทำรายการระหว่างบริษัทในกลุ่ม แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจไฟฟ้า ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจะอยู่ในระดับปกติและโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ในระดับเหมาะสมในระยะยาว อันดับเครดิตอาจปรับขึ้นได้หากฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าลดลงและส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท หรือบริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้เป็นจำนวนมากจนทำให้สถานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง บริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายเป็นผู้นำในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในประเทศไทย โดยมีบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 25.5% ณ เดือนสิงหาคม 2558 ภายในสิ้นปี 2558 บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) มีแผนจะจำหน่ายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ดังกล่าวให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) คือกลุ่มคุณโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ในซึ่งปัจจุบันถือหุ้นบริษัทอยู่ 64.5% และถือหุ้นในบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) อยู่ 76.2% บริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าชีวมวลและถ่านหินรวม 9 แห่งภายใต้โครงการ SPP ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 601 เมกะวัตต์และกำลังการผลิตไอน้ำ 1,180 ตันต่อชั่วโมง โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา นอกจากธุรกิจไฟฟ้าแล้ว บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและธุรกิจสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านแหล่งเชื้อเพลิงและเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วย โดยบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังขนาดกำลังการผลิต 500,000 ลิตรต่อวัน ลงทุนในธุรกิจน้ำมันรำข้าวและธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในธุรกิจสนับสนุนการปลูกต้นยูคาลิปตัส (ต้นพลังงาน) รวมถึงธุรกิจวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงด้วย บริษัทยังลงทุนซื้อสิทธิในการทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย อีกทั้งยังลงทุนในธุรกิจให้บริการขนส่งถ่านหินและชีวมวล รวมถึงธุรกิจทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเลด้วย ธุรกิจไฟฟ้าเป็นแหล่งรายได้และแหล่งกำไรหลักของบริษัท โดยในปี 2557 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในสัดส่วน 80%-85% มาจากธุรกิจไฟฟ้า ในขณะที่ 15%-20% มาจากธุรกิจอื่น ๆ บริษัทมีสัญญา PPA อายุ 25 ปีกับ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของบริษัท บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำส่วนที่เหลือภายใต้สัญญาระยะยาวให้แก่กลุ่มบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราด้วย โรงไฟฟ้าของบริษัทได้รับการออกแบบให้ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินและชีวมวล แม้การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลจะมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าชีวมวลก็ต้องการการบำรุงรักษามากกว่าและมีความเสี่ยงจากการสึกหรอของเครื่องจักรอุปกรณ์ในอัตราที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินหรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าของบริษัทมีการดำเนินงานที่ราบรื่นในช่วงปี 2557 โดยระดับความพร้อมจ่ายเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าในปี 2557 ดีขึ้นเป็น 88.5% ในขณะที่อัตราการหยุดซ่อมฉุกเฉินอยู่ที่ระดับ 3.6% เมื่อเทียบกับ 3.9%-5.3% ในปี 2554-2556 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 แม้โรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทยังมีการดำเนินงานที่ราบรื่น แต่โรงไฟฟ้าชีวมวล 4 แห่งของบริษัทประสบปัญหาเครื่องจักรสูงกว่าปกติ ส่งผลให้อัตราการหยุดซ่อมฉุกเฉินเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% เทียบกับค่าเฉลี่ย 3.6%-5.3% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในส่วนการหยุดซ่อมฉุกเฉิน 9.1% นั้น การหยุดซ่อมส่วนหนึ่ง (3.2%) เกิดจากอุบัติเหตุซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของบริษัทประกันภัย การปิดซ่อมตามแผนของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางที่ 9.8% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 เทียบกับ 7.9%-11.5% ในช่วงปี 2554-2556 ทำให้ระดับความพร้อมจ่ายเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2558 ลดลงเป็น 81.1% เทียบกับ 83.3%-88.5% ในระหว่างปี 2554-2557 ปัญหาทางด้านเครื่องจักรทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำของบริษัทลดลง 15.1% เป็น 1,419 ล้านหน่วย (GWhe) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ผลประกอบการของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีในปี 2557 จากการดำเนินงานที่ราบรื่นของโรงไฟฟ้า รวมทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายไฟฟ้า และต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ลดลง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ที่ 28.1% ในปี 2557 เทียบกับระดับ 23.0%-29.3% ในปี 2554-2556 EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 4,314 ล้านบาทในปี 2557 จาก 3,392 ล้านบาทในปี 2555 และ 4,018 ล้านบาท ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม กำไรของบริษัทลดลงในครึ่งแรกของปี 2558 โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทลดลงเป็น 22.7% ในครึ่งแรกของปี 2558 เทียบกับ 33.0% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัญหาเครื่องจักรทำให้อัตรากำไรของบริษัทลดลง นอกจากนี้ อัตรากำไรยังลดลงเนื่องจากราคาขายไฟฟ้าที่ขายให้ EGAT และลูกค้าในสวนอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงตามการลดลงของราคาน้ำมันเตา ถ่านหิน และก๊าซซึ่งปรับตัวลดลง 28.7% 15.0% และ 6.0% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาขายไฟฟ้าลดลงมากกว่าประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากต้นทุนถ่านหินที่ลดลง ธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทก็มีผลประกอบการที่ลดลงเช่นกันยกเว้นธุรกิจเอทานอล ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 EBITDA ของบริษัทเท่ากับ 1,436 ล้านบาท ลดลง 46.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่เงินกู้รวมของบริษัทยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 22,135 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 จาก 16,902 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากการลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 223 เมกะวัตต์และการเพิ่มการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังอีก 1 สายการผลิต บริษัทได้จ่ายเงินปันผลรวมจำนวน 1,240 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 69.2% ณ เดือนมิถุนายน 2558 เทียบกับ 64.1% ณ เดือนธันวาคม 2556 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจึงปรับตัวลดลงเป็น 2.3 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 จากระดับเฉลี่ย 4 เท่าในปี 2556-2557 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 10.9% (ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีด้วยผลการดำเนินงาน 12 เดือนย้อนหลัง) เทียบกับอัตราเฉลี่ยระดับ 18% ในปี 2556-2557 บริษัทมีเงินมัดจำจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 1,786 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2556 ในปี 2557 บริษัทย่อยของบริษัทได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินรวม 282 ไร่จากบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยบริษัทตกลงจะซื้อที่ดินในราคา 706 ล้านบาทและได้จ่ายเงินมัดจำจำนวน 680 ล้านบาท เงินมัดจำลดลงจำนวน 304 ล้านบาทในระหว่างปีจากการโอนที่ดินบางส่วน ณ เดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินมัดจำจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องรวม 2,171 ล้านบาท คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2559 เมื่อโรงไฟฟ้ากลับมาเดินเครื่องในระดับปกติ บริษัทมีแผนจะปรับประเภทของเชื้อเพลิงและการบริหารจัดการเชื้อเพลิง อีกทั้งยังมีแผนตรวจสอบเครื่องจักรเพิ่มเติมเพื่อให้การเดินเครื่องโรงไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตจากโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่ง โดยโรงไฟฟ้าขนาด 98 เมกะวัตต์ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 อยู่ระหว่างการทดสอบเครื่องจักรซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2559 ในส่วนของการกู้ยืมนั้นน่าจะลดลงเนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทดำเนินการเสร็จสิ้นและการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินภายใต้โครงการ IPP (Independent Power Producer) เลื่อนออกไป ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของบริษัทจะลดลงจาก 3,000 ล้านบาทในปี 2558 เหลือ 800-1,200 ล้านบาทในปี 2559-2560 จากประมาณการ EBITDA ที่ระดับ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปีคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานน่าจะเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนดังกล่าว บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายจำกัด (มหาชน) (NPS) อันดับเครดิตองค์กร: BBB อันดับเครดิตตราสารหนี้: NPS171A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,718 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB- NPS184A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB- NPS19OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB- หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ