กรุงเทพฯ--28 ม.ค.--บลจ.กรุงศรี
บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ6M19(KFFAI6M19) อายุประมาณ 6 เดือน เสนอขายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ลงทุนขั้นต่ำ 510,000 บาท ประมาณการผลตอบแทน 1.75% ต่อปี
ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า "บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M19 (KFFAI6M19) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศหรือเงินฝาก เช่น เงินฝากธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน ,มาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Agricultural Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน , ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร China Construction Bank (สาธารณรัฐประชาชนจีน , ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 20% และเงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 1.75% ต่อปี (ประมาณการค่าใช้จ่ายของกองทุนที่0.12%ต่อปีของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรี ตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป"
"กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M19 (KFFAI6M19) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน"
"สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้โลกนั้น อัตราดอกเบี้ยยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไป เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ ในขณะที่เศรษฐกิจยุโรป จีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศมีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนแอ และมีความเป็นไปได้ที่หลายประเทศจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และอาจมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรปประกาศคงอัตราดอกเบี้ย แต่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่าอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะใช้อาจรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากกว่า 0.10% การเพิ่มขนาดของการซื้อสินทรัพย์อีกเดือนละ 1 หมื่นล้านยูโร และการเพิ่มการปล่อยสินเชื่อให้กับธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่"
"ในส่วนของธนาคารกลางจีนระบุว่าได้ตั้งอัตราการกันสำรองขั้นต่ำสำหรับการฝากเงินเป็นเงินหยวนในประเทศของธนาคารต่างชาติเพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงิน โดยจะเริ่มมีผลในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมากผ่านทางระบบธนาคารเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาดก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 4/58 โต 6.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และทั้งปีโต 6.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า"
"นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีการใช้นโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติมหากการแข็งค่าของค่าเงินเยนและการปรับลดลงของราคาหุ้นส่งผลให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่อัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% และธนาคารกลางมาเลเซียได้ประกาศลดอัตราการกันสำรองขั้นต่ำลง 0.50% สู่ 3.50% โดยระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ"
"สำหรับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 0.01 – 0.05% ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยลดลง 0.00 – 0.08% โดยที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะกลางปรับตัวลดลงมากกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาว" (ข้อมูล:บลจ. กรุงศรี ณ 26 ม.ค. 59)
นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือ เว็บไซต์ www.krungsriasset.com หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
กองทุน KFFAI6M19 เป็นกองทุนสำหรับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย และผู้มีเงินลงทุนสูงเท่านั้น
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
กองทุนนี้สามารถลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ในอัตราส่วนที่มากกว่ากองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วนหรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการ