ตลท.รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 3 ปี 2543 ณ วันที่ 10 พ.ย. 2543

ข่าวทั่วไป Monday November 13, 2000 10:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวดสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2543 โดย ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 มีบริษัทจดทะเบียนนำส่งงบการเงินมายังตลาดหลักทรัพย์แล้ว จำนวน 57 บริษัท บริษัทจดทะเบียนในภาคการผลิตและบริการมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่มี ผลกำไรงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเยื่อกระดาษและกระดาษ พาณิชย์ วัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ประกันภัยและประกันชีวิต และโรงแรมและบริการท่องเที่ยว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 3 ปี 2543 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2543 โดย ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 มีบริษัทจดทะเบียนจดทะเบียนนำส่งงบการเงินที่สอบทานแล้วมายังตลาดหลักทรัพย์ รวม 57 บริษัท โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการผลิตและบริการ จำนวน 33 บริษัท ปรากฏว่าบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดังกล่าวมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลกำไรสุทธิรวมสำหรับงวด 9 เดือน จำนวน 3,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 13,540 ล้านบาท หรือมีกำไรเพิ่มขึ้น 129% ทั้งนี้ หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 4,844 ล้านบาท พบว่าบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มนี้จะมีกำไรก่อนผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 8,787 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรเพียง 23 ล้านบาท และสำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2543 ปรากฏว่ามีผลขาดทุนสุทธิ 1,142 ล้านบาท โดยขาดทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 13,988 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลงคิดเป็นร้อยละ 92
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของบริษัทจดทะเบียนจำแนกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลกำไรสูงสุด 5 กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มเยื่อกระดาษและกระดาษ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต และกลุ่มโรงแรมและบริการท่องเที่ยว โดยมีกำไรสุทธิรวม 8,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิรวม 6,758 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้น 220 % ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขาย 21% และมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 31% ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลขาดทุนสูงสุด 5 กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก กลุ่มธุรกิจการเกษตร กลุ่มพลังงาน กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ และกลุ่มบันเทิงและสันทนาการ ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิรวม 4,462 ล้านบาท โดยขาดทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 6,962 ล้านบาท หรือลดลง 36 % อันเป็นผลจากการที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 22% และมีอัตราการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้น 43 % โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 16% สูงขึ้นกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 14%
เมื่อพิจารณาจากยอดขาย พบว่าบริษัทจดทะเบียนเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราการเติบโตของยอดขายรวม 9 เดือนเท่ากับ 25 % ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 20 % ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2.25% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราผลตอบแทนติดลบ 7.70% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 0.72% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราผลตอบแทนติดลบ 2.45%
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจเงินทุน ปรากฏว่า ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 ไม่มีบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวนำส่งงบการเงินเพิ่มเติมจาก จำนวน 24 บริษัท ที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เคยรายงานไปแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2543
สอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
ฝ่ายสารนิเทศ
โทร. 229-2040-3 และ 229-2046
โทรสาร 359-1005-6--จบ--
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ