สมาคมศัลยกรรมฯแจ้ง “เฟซออฟ” เมืองไทยไม่มีจริง ออกโรงเตือนประชาชนอย่างหลงเชื่อเข้าใจผิด

ข่าวบันเทิง Wednesday February 17, 2016 14:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 กลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั้งประเทศเมื่อ "ดร.เซปิง" ไชยสาสน์ ประธานโครงการ "เฟสออฟ บาย ดร.เซปิง" (Face off by Dr.Xeping) ท้าชมบีฟอร์-อาฟเตอร์ นักร้องลูกทุ่งคนดัง สุรชัย สมบัติเจริญ ขึ้นเขียงศัลยกรรมใบหน้าเพื่อจะกระชากความแก่จาก 60ปี ให้ดูหนุ่มขึ้นเหมือนวัย 35 ปี ซึ่งงานนี้ทางสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศและสมาคมศัยลกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ได้ออกโรงแจ้งว่าโครงการ Face off ไม่มีจริงบุคคลที่คิดโครงการนี้เค้าไม่ใช่แพทย์มาพูดแบบนี้ ล่าสุด นพ.ธนวรรฒน์ โชติมา นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ได้ออกมาเปิดใจพร้อมทั้งบอกเล่าถึงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการทำศัลยกรรมที่ถูกต้องและไม่ให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลเรื่องต่างๆในรายการ ปากโป้ง ทางช่อง 8 ที่มี หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย และ หนิง-ปณิตา ธรรมวัฒนะ รับหน้าที่พิธีกรว่า "กับเรื่องของการทำหน้านั้นความจริงแล้วมันสามารถที่จะทำได้ แต่มันไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแบบ Face off อยากที่จะทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปแบบนี้ครับ ซึ่งตอนนี้ประชาชนทั่วไปเกิดความเข้าใจผิดกันอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องของการทำ Face off ว่าจะต้องเป็นการเปลี่ยนหน้า สำหรับเรื่องของการทำ Face off นั้นจริงๆแล้วเท่าที่ทราบมานั้นเคยมีแค่ 2 ราย โดยรายแรกปี 2005 เป็นคนที่ถูกสุนัขกัดที่ใบหน้าแล้วต้องไปเอาหน้าของคนที่เสียชีวิตมาปลูกถ่ายบนใบหน้าแต่ว่าเป็นบ้างส่วน รายที่ 2 ปี 2010 เป็นคนที่ถูกปืนจนใบหน้าเละ ซึ่งรายนี้ถือว่าเป็นการทำทั้งหน้าจริงๆและก็ประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องคนที่ไปทำหน้ามาด้วยการผ่าตัด แบบประเภทตัดกล้าม เสริมจมูก หรือทำอะไรต่างๆแบบนี้เค้าไม่เรียกว่าการทำเฟซออฟนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดในเรื่องของคำที่นำมาใช้มากกว่า สำหรับคำว่า Face off จริงๆแล้วมันเป็นการเปลี่ยนหน้าจากตัวเองแล้วเอาหน้าของคนอื่นมาใส่แทน แต่สำหรับกรณีของนักร้องลูกทุ่งคนดังนั้นผมไม่เรียกว่าเป็นการทำ เฟซ ออฟ เพราะเท่าที่ทราบมานั้นเขาเพียงแค่เป็นการทำด้วยการดึงหน้า ทำตา ปลูกผมใหม่ ซึ่งการทำศัลยกรรมแบบนี้เรียกว่า Aging Face(เอจจิ้ง เฟซ)ซึ่งเป็นการทำกันทั่วไปแต่เป็นการทำแบบเลือกทำที่ละอย่างจะไม่ทำพร้อมกัน แต่ถ้ามีความประสงค์จะทำพร้อมกันหมดก็ทำได้แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง และต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน และการทำเฟซออฟนั้นเท่าที่รู้ในเมืองไทยยังไม่มีใครเคยทำ และการทำเฟซออฟนั้นเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ทีมงานเยอะมากระยะเวลาในการผ่าตัดก็ต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 8-36 ชม.เป็นอย่างน้อย และที่สำคัญมันจจะต้องทำกันในสถานบันที่ใหญ่มากเพราะต้องมีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ถือว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ" "กับเรื่องที่ทางสมาคมได้ออกโรงตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นนี้นั้น อยากที่จะทำความเข้าใจกับทุกคนก่อนว่าความจริงแล้วเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกับทางโครงการศัลยกรรมของเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าตอนนี้ประชาชนทั่วไปกำลังเข้าใจผิดเกี่ยกับเรื่องของการทำเฟซอออฟที่เกิดขึ้น และที่สำคัญบุคคลที่จะออกมาให้ความรู้หรือว่าบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ควรจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่กับที่เป็นข่าวและเท่าที่ผมตรวจสอบดูนั้นเขาไม่ได้เป็นแพทย์หรือว่าเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการทำศัลยกรรมโดยตรง ซึ่งประเด็นนี้อาจจะทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นก็เลยทำให้ผมในฐานะนายกสมาคมก็ไม่อยากที่จะนิ่งนอนเพราะไม่อยากที่จะให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและสับสนกับเรื่องของข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมก็ยืนยันว่าผมไม่ได้ต้องการที่จะฟ้องร้องอะไร เขาเพียงแค่ต้องการที่จะออกมาเพื่อที่จะบอกข้อเท็จจริงไม่ใช่เกิดกระแสชี้นำที่ไม่ถูกต้องให้กับประชาชน แต่เรื่องของการฟ้องร้องนั้นเท่าที่ทราบมันเป็นเรื่องส่วนตัวของนพ.ชลธิศ ลินรัชตานันท์ ที่มีการนำเอาข้อมูลบ้างอย่างของอาจาย์ไปใช้ก็จะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขากับทางคู่กรณี" นพ.ธนวรรฒน์ กล่าวเพิ่มต่อว่า "ส่วนเรื่องที่ทางสถาบันเขาออกมายืนยันว่าสถานที่ของเขานั้นได้รับการรองรับจาก JCI นั้นสำหรับ JCI เป็นการได้รับรองมาตราฐานการจัดการ ซึ่งความจริงแล้วโรงพยาบาลใหญ่ๆในบ้านเราก็ได้รับรองได้รับการควบคุมคุณภาพอยู่แล้ว ส่วนที่เขายืนยันว่าได้รับการรองรับมาตราฐาน JCI นั้นอันนี้ผมไม่ทราบคงต้องไปตรวจสอบกันอีกที แต่สิ่งที่ผมออกมาวันนี้ก็เพื่อยืนยันว่าการทำเฟซออฟนั้นคือการเปลี่ยนหน้าไปเลยไม่ว่าจะเป็นการเอาหน้าตัวเองไปเปลี่ยนกับใครหรือว่าเอาหน้าคนอื่นมาเปลี่ยนกับเรา แต่ถ้าเป็นการทำด้วยวิธีอื่นไม่ถือว่าเป็นการทำเฟซออฟ และประเด็นที่เป็นข่าวคึกโคมอยู่ในตอนนี้กับการใช้คำว่า Face off ผมว่ายังไม่มีความเหมาะสม ส่วนเรื่องที่เกิดเรื่องแล้วเขาจะออกมาขอโทษเรื่องการใช้คำผิดนั้นตรงนี้ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้อออกมากล่าวโทษเขา ผมแค่ออกมาเพื่อทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความถูกต้อง คนที่จะเอาผิดเขาก็ต้องเป็นหน่วยงานราชการจะต้องทำหน้าที่ตรงนี้เข้าไปตรวจสอบว่าผิดถูกอย่างไร"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ