Kung Fu Panda 3 - กังฟูแพนด้า 3

ข่าวบันเทิง Thursday February 25, 2016 10:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--MMM Digital Asset หนึ่งในแฟรนไชส์แอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกกำลังจะกลับมาพร้อมการผจญภัยขำขันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน KUNG FU PANDA 3 เมื่อจู่ๆ พ่อแพนด้าของโปซึ่งพลัดพรากจากกันไปนานได้ปรากฏตัวขึ้น คู่พ่อลูกที่ได้กลับมาเจอกันได้เดินทางไปยังแดนสวรรค์อันลึกลับของแพนด้าเพื่อพบตัวละครแพนด้าสุดฮาตัวใหม่ๆ แต่เมื่อตัวร้ายผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ไค เริ่มกวาดล้างปรมาจารย์กังฟูทั่วเมืองจีน โปจึงต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นคือการฝึกบรรดาพี่น้องผู้รักสนุกและงุ่มง่ามทั้งหมู่บ้านให้กลายเป็นสุดยอดกังฟูแพนด้า! หนังเรื่องนี้นับเป็นการกลับมาของหมีสีขาวดำตัวอ้วนพีที่มีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ที่ต้องอาศัยความคล่องแคล่วว่องไว จิตใจที่แข็งแกร่ง และปฏิกริยาโต้ตอบที่ฉับไวปานสายฟ้าแลบ นับเป็นเป้าหมายที่น่าหวั่นใจหรือไม่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่โปไม่รู้จักคำว่า "เป็นไปไม่ได้" เขาพยายามเสมอที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้...เพื่อเป็นฮีโร่ในแบบของเขาเอง การผจญภัยของโปเริ่มต้นใน KUNG FU PANDA ซึ่งเขาดำเนินรอยตามโชคชะตาและกลายเป็นจอมยุทธมังกร หนังเรื่องนี้นำเสนอฉากการต่อสู้ที่น่าทึ่ง ความตลกขำกลิ้ง และความอบอุ่นน่าประทับใจ ผู้ชมทั่วโลกชื่นชอบ Kung Fu Panda และหนังเรื่องนี้ก็กวาดรายได้กว่า 633 ล้านเหรียญทั่วโลก ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และได้รับรางวัล Annie Awards 10 รางวัล ใน KUNG FU PANDA 2 โปได้ค้นพบความลับเกี่ยวกับที่มาอันลึกลับของตัวเอง เพื่อปลดล็อคความแข็งแกร่งที่จะนำเขาไปสู่ความสำเร็จ หนังเรื่องนี้ทำรายได้เหนือกว่าภาคแรก ได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และชนะรางวัล Annie Awards สองรางวัล รวมถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของเจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสัน มาคราวนี้ใน KUNG FU PANDA 3 การผจญภัยของโปกลับมาบรรจบครบรอบเมื่อเขาได้พัฒนาการเป็นฮีโร่ขึ้นไปอีกขั้น โปตระหนักว่ายังมีอะไรอีกมากให้เขาได้เรียนรู้เมื่อออกจากอาณาเขตที่คุ้นเคยจากผู้เป็นศิษย์กลายมาเป็นครู ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องนำครอบครัวทางสายเลือดและครอบครัวกังฟูของเขามารวมเข้าด้วยกัน และกลายเป็นผู้ควบคุมอดีตและอนาคต KUNG FU PANDA 3 ใช้ประโยชน์เต็มที่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคอันล้ำสมัยของ DreamWorks Animation พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์เป็นโครงการแรกที่สร้างหนังสองเรื่องเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครเดียวกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานชิ้นนี้ได้นำเรากลับไปสู่ความสนุกสนาน การผจญภัย อารมณ์ขัน และความอบอุ่นของหนังภาคแรก รวมถึงย้ำเตือนเราว่าเพราะเหตุใดผู้ชมทั่วโลกจึงตกหลุมรักโป จากศิษย์มาเป็นครู ไม่มีใครจะชื่นชอบโปมากไปกว่าเหล่าผู้สร้างหนังที่ทำให้เขามีชีวิตขึ้นมา ผู้กำกับเจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสัน ซึ่งอยู่กับโปมาตั้งแต่แรกเริ่มการเดินทางกล่าวว่า "สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดในตัวโปคือความกระตือรือร้นอย่างไม่มีขอบเขต การใช้เวลาร่วมกับโปนับเป็นความเพลิดเพลินเพราะเขาทุ่มเทเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอย่าง" ยูห์ เนลสัน กล่าวว่า โดยเนื้อแท้แล้ว โปเป็น "เด็กเนิร์ดที่เอาดีจนได้" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ตรงกับตัวเธอด้วย "ฉันมองเห็นตัวเองในความเป็นเด็กเนิร์ดของเขาเพราะฉันก็ไม่ใช่เชียร์ลีดเดอร์สุดฮ็อตตอนอยู่โรงเรียน" เธอกล่าวพร้อมกับหัวเราะ "ความอ่อนน้อมและกระตือรือร้นของโปดูเป็นเนิร์ดอยู่ และฉันคิดว่ามันช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความใฝ่ฝันให้หลายๆ คน "การที่เขาค้นพบความพิเศษในตัวเองและใช้สิ่งนั้นเพื่อเป็นคนเก่งที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเราทุกคนสามารถมองย้อนกลับมาที่ตัวเองได้เหมือนกัน" ยูห์ เนลสันกล่าวต่อ "ทุกคนอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองแตกต่างและใช้ข้อมูลนั้นมาพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ฉันคิดว่าประเด็นนี้ดีมากทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงสำคัญต่อคนทำหนังอย่างเราๆ ด้วย เพราะเราไม่เข้ากับกรอบแบบไหนๆ อยู่แล้ว!" เห็นได้ชัดว่ายูห์ เนลสันมองเห็นตัวเองในตัวโปและในการเดินทางของโปซึ่งในบางแง่ก็ตรงกับการเดินทางของเธอ เช่นเดียวกับที่โปเปลี่ยนบทบาทจากศิษย์ไปเป็นครู ยูห์ เนลสัน ก็ได้เติบโตครั้งสำคัญใน KUNG FU PANDA 2 ซึ่งเธอรับหน้าที่เป็นผู้กำกับหลังจากทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายเนื้อเรื่องในภาคแรก และเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์เรื่องในผลงานอื่นๆ ของ DreamWorks Animation ความกระตือรือร้นของโปได้ส่งต่อไปถึงคนอื่นๆ ด้วย ผู้กำกับ อเลสซานโดร คาร์โลนี ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมงานกับไตรภาคนี้มายาวนานได้กล่าวว่า "ในหนังเรื่องนี้ โปต้องช่วยให้คนอื่นๆ ได้บรรลุแบบเดียวกันและเปิดรับเอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อจะได้ฉายแสงออกมา" ในบางกรณีคาร์โลนียอมรับว่าเขาได้ "อาศัยแบบอย่างจากการเดินทางและบุคลิกของโป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกระตือรือร้นซึ่งเป็นพลังเชิงบวกได้อย่างดี" ตัวอย่างเช่น "ถ้าทีมงานนำเสนอสิ่งที่ผมชอบ ผมไม่ได้แค่อนุมัติให้ทำงานต่อ แต่ผมจะกระโดดโลดเต้นด้วยความกระตือรือร้น ผมเปิดรับความเป็น 'โป' ภายในตัวเอง" ไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดๆ โปก็ไม่เคยยอมแพ้ "เขามีทัศนคติที่เยี่ยมมาก" มือเขียนบท เกล็นน์ เบอร์เกอร์ กล่าว "โปมองโลกในแง่บวกและพยายามอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะล้มลงกี่ครั้ง เขาก็ยังลุกขึ้นมาใหม่" คุณสมบัติที่ผู้ชมชื่นชมและชื่นชอบนี้สร้างความท้าทายอย่างยิ่งในการคิดเรื่องราวใหม่ๆ ให้โป ในเมื่อเขาเคยเผชิญกับอุปสรรคและภัยคุกคามสารพัดเรื่องมาแล้ว "ทำอย่างไรจึงจะนำโปกลับไปยังจุดตั้งต้นใหม่ รวมถึงทำให้ดูน่าเชื่อถือว่าโปอาจสูญเสียศรัทธาในตัวเอง" เบอร์เกอร์กล่าวต่อ "สุดท้ายแล้วความท้าทายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกภายในมากขึ้นเรื่อยๆ" ความท้าทายใหม่ประการแรกของโปคือการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพที่น่าหวั่นเกรงจนดูเหมือนไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เขาใช้ชีวิตเต็มที่และมีความสุขดีในฐานะจอมยุทธมังกร จนกระทั่งชิฟู อาจารย์ที่เขาเคารพรักได้นำเสนอก้าวใหม่ของพัฒนาการในฐานะกังฟูแพนด้า นั่นคือโปจะต้องมาเป็นครู นี่เป็นภารกิจหนึ่งที่โปไม่พร้อมที่จะรับ อย่างน้อยก็ในตอนแรก แบบฝึกหัดแรกของการเป็นครูคือโปจะต้องฝึก Furious Five สุดยอดจอมยุทธกังฟูแห่งเมืองจีน ผลออกมาไม่ดีนัก ขณะที่โปพยายามสอนกระบวนท่ากังฟูอันละเอียดอ่อนให้เหล่าจอมยุทธที่เขานับถือ ทั้งนางพยัคฆ์ วานร อสรพิษ กระเรียน และตั๊กแตน ความชุลมุนวุ่นวายก็เกิดขึ้นในโรงฝึกซึ่งเป็นสถานที่แห่งระเบียบวินัย เกียรติยศ และธรรมเนียมปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์ "จอมยุทธทั้งห้าเริ่มมองโปในแง่ดี แต่ก็ยังคงตั้งข้อกังขาว่าโปจะเป็นครูได้จริงหรือซึ่งก็มีเหตุผลอยู่นะ!" ลูซี ลิว กล่าว "มันคือการฝึกจากนรก เป็นหายนะชัดๆ!" คาร์โลนีกล่าว "โปสร้างความเสียหายให้โรงฝึกและเพื่อนจอมยุทธในช่วงเวลาห้านาทีที่เขาเป็นครูมากกว่าช่วงเวลาหลายปีที่เขาเป็นศิษย์เสียอีก" การที่โปไม่รู้เรื่องเลยว่าจะเป็นครูได้อย่างไรชวนให้เรานึกถึงตัวละครที่เรารู้จักและตกหลุมรักใน KUNG FU PANDA "เราเสนอภาพโปจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งในแง่ความมั่นใจ" คาร์โลนีกล่าว "ตอนที่เขาก่อเรื่องในโรงฝึก เหตุการณ์นั้นได้นำเขากลับไปยังตอนที่เขาไม่พร้อมจะเป็นจอมยุทธกังฟูในภาคแรก" ยูห์ เนลสันเสริม "ช่วงเวลาสั้นๆ ในการเป็นครูนำเขากลับไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นคงที่เราเคยเห็นใน KUNG FU PANDA โปต้องต่อสู้กับแนวคิดเรื่องการมาเป็นครู" แจ็ค แบล็ค กลับมาให้เสียงเป็นตัวละครอันโดดเด่นนี้อีกครั้ง ฉากดังกล่าวชี้ให้เห็นความเป็นจริงที่ว่า "โปไม่ใช่ชิฟู เราต้องยอมรับในเรื่องนี้ เขาหวาดกลัวและคิดว่าตัวเองไม่เหมาะจะมารับหน้าที่ใหม่ซึ่งถ่วงเขาให้รู้สึกหนักยิ่งกว่าติ่มซำที่กินเข้าไปเสียอีก" แบล็คยินดีกลับมารับบทนี้และช่วยให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตชีวาเช่นที่เคยเป็นมา "แจ็คเป็นคนตลกและมีเสน่ห์อยู่แล้ว และเขาก็ถ่ายทอดความกระตือรือร้น อัธยาศัยที่ดี และพลังอันเปี่ยมล้น ซึ่งเป็นข้อดีในตัวละครหลายตัวที่แจ็ค รับบทในหนัง แจ็คและโปต่างช่วยเตือนเราว่าถ้าเราทำตามที่ใจเราบอก อะไรๆ ก็เป็นไปได้" ยูห์ เนลสันกล่าว "แจ็คมีความน่ารักอยู่ในตัวเอง" คาร์โลนีเสริม "เขาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี รวมถึงมีอารมณ์ขันและมีเสน่ห์เสมอ" แบล็คตอบรับโอกาสที่จะได้กลับมารับบทบาทเป็นตัวละครที่มีคนรักมากที่สุดตัวหนึ่ง และพบว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะกลับไปหาตัวตนของจอมยุทธมังกร "ผมก็แค่กลับไปหาตัวเองตอนที่ยังเด็กกว่านี้ครับ ตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำงานในวงการ" เขาอธิบาย "ผมมองโปเป็นแบบนั้นนะ เขาเป็นหนุ่มน้อยที่ชื่นชอบกังฟู สิ่งที่ผมชอบคือดนตรีร็อคแอนด์โรลล์และการแสดง แต่โปกับผมก็มีความคลั่งไคล้หลงใหลแบบเดียวกัน ผมเองก็เคยเป็นจอมยุทธมังกรหนุ่มมาเหมือนกัน" เขากล่าว ชิฟูเป็นคนแรกที่เล็งเห็นและนำเอาความหลงใหลที่โปมีต่อวิชากังฟูมาใช้ให้เป็นประโยชน์ และคราวนี้ก็ผลักดันโปให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นด้วยการให้เขาเป็นครู "ชิฟูรู้ว่าโปต้องเผชิญความท้าทายในการเป็นครู เขารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย" ผู้อำนวยการสร้างเมลิสซา ค็อบบ์กล่าว ด้วยร่างกายที่ไม่ได้สูงใหญ่และความอดทนที่มีขีดจำกัดในบางครั้ง ชิฟูเป็นตัวละครที่สนุกและซับซ้อน นักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน กลับมาให้เสียงในบทนี้ โดยเขาได้ใช้ประสบการณ์ตลอดสี่ทศวรรษของการเป็นนักแสดงชั้นนำของโลก รวมถึงฝีมือการแสดงตลกอันยอดเยี่ยมด้วย ต่างจากชิฟู จอมยุทธทั้งห้ากังขาว่าโปจะสามารถจะสอนวิชากังฟูได้หรือไม่ เหล่าผู้ปกป้องหุบเขาแห่งสันติจริงจังมากกับศิลปะการต่อสู้ของตน และมีสุดยอดอาจารย์อย่างชิฟูคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด มาตอนนี้พวกเขาต้องมารับการสอน...จากโปเนี่ยน่ะเหรอ? เหยื่อที่ต้องมารับการสอนของโป ได้แก่ วานร (ให้เสียงโดยนักแสดงระดับตำนาน เฉินหลง) ซึ่งความขี้เล่นและสนุกสนานได้ซ่อนความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้อันพริ้วไหวเอาไว้ กระเรียน (เดวิด ครอส) นักปฏิบัติผู้มีเหตุมีผลประจำกลุ่ม ตั๊กแตน (เซธ โรเกน) จอมยุทธที่มีร่างเล็กที่สุดและอารมณ์แปรปรวนที่สุดในจำนวนจอมยุทธทั้งห้า อสรพิษ (ลูซี ลิว) "แม่ไก่" ผู้คอยดูแลทุกคน และนางพยัคฆ์ จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในกลุ่ม ผู้กลับมาพากย์เสียงเป็นนางพยัคฆ์คือนักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์ แองเจลินา โจลี พิตต์ ซึ่งความสามารถและความตั้งใจของเธอได้ช่วยให้นางพยัคฆ์มีพลัง ความโผงผาง ความตรงไปตรงมา และความเห็นอกเห็นใจ โจลี พิตต์ยังคงค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ของตัวละครนี้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอนับตั้งแต่มารับบท "นางพยัคฆ์เป็นตัวละครที่บริสุทธิ์และงดงาม และเป็นตัวละครหญิงที่เข้มแข็งมากด้วย" นักแสดงหญิงรายนี้กล่าว "เธอเจ๋งมาก ฉันอยากทำได้สักครึ่งหนึ่งของเธอ!" แก่นเรื่องของ KUNG FU PANDA เกี่ยวกับการทำเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้นั้นตรงใจโจลี พิตต์อย่างเห็นได้ชัด "มันช่วยบอกเราว่าเราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคนอื่น แต่ควรมุ่งไปยังสิ่งที่เราเป็นและการเติบโตของเราเอง" เธออธิบาย "นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ เรามักพยายามค้นหาตัวตนที่ดีที่สุดและแก่นแท้ในตัวเราอยู่เสมอ" นางพยัคฆ์ ซึ่งพากย์เสียงโดยโจลี พิตต์ และอสรพิษ ซึ่งพากย์เสียงโดยลูซี ลิว รวมถึงตัวละครแพนด้าตัวใหม่ เม่ยเม่ย (พากย์เสียงโดยเคต ฮัดสัน) ชี้ให้เห็นถึงธรรมเนียมของไตรภาคนี้ที่จะต้องนำเสนอตัวละครหญิงผู้แข็งแกร่ง แนวทางเดียวกันนี้ยังปรากฏอยู่ในทีมงานเบื้องหลังด้วย โดยผู้กุมบังเหียนเบื้องหลังตัวละครเหล่านี้อย่าง เจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสัน ก็เป็นผู้กำกับหญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยเป็นผู้กำกับหนังฮิตอย่าง KUNG FU PANDA 2 พ่อสอง ลูกชายหนึ่ง การเปลี่ยนจากศิษย์มาเป็นครูไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพียงประการเดียวในชีวิตของโป พ่อทางสายเลือดที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลี่ ชาน ได้เดินทางมายังหุบเขาแห่งสันติและกลับมาพบโปอีกครั้งในช่วงเวลาที่ทั้งซาบซึ้งและขำขัน ไบรอัน แครนสตัน ดาราผู้ได้รับการยกย่องจาก "Breaking Bad" มาร่วมงานในแฟรนไชส์นี้โดยพากย์เสียงเป็น หลี่ ในบางแง่ ทุกสิ่งที่เราได้เห็นจากสองภาคแรกล้วนนำมาสู่เหตุการณ์นี้ ยูห์ เนลสัน กล่าวว่า "ตลอดเวลาหลายปีที่ทำหนัง KUNG FU PANDA มา คำถามข้อหนึ่งที่ผุดขึ้นมาบ่อยที่สุดคือแพนดาจะมีห่านอย่างอาปิงเป็นพ่อได้ยังไง เราจะได้พบพ่อที่แท้จริงของโปรึเปล่า" คำถามนั้นและคำตอบของคำถามเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ผู้ร่วมเขียนบท โจนาธาน เอเบล เรียกว่า "เรื่องราวในกรอบใหญ่ เขามักถามตัวเองว่า "ฉันเป็นใคร ฉันดีพอรึเปล่า' ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถาม ณ จุดใดจุดหนึ่งของชีวิต" เอเบลกล่าว เขาเป็นผู้เขียนบท KUNG FU PANDA ทั้งสามภาคร่วมกับเพื่อนมือเขียนบท เกล็นน์ เบอร์เกอร์ แล้วพ่อของโปจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ลองนึกดูว่าโปจะเป็นอย่างไรถ้าวิชากังฟูไม่เคยเข้ามาในชีวิตของเขา หลี่ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ พ่อของโปเป็นแพนด้าผู้โผงผางร่าเริงและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยส่วนใหญ่แล้วก็อยู่กับการกินไม่ก็นอน หรือไม่ก็นอนไปกินไป การกลับมาพบกันที่ร้านขายติ่มซำของอาปิงพ่อเลี้ยงของโปนั้น...มีความเป็นโปมากๆ นั่นคือเต็มไปด้วยอารมณ์ขันและความซาบซึ้ง ลีทำลายสถิติการกินติ่มซำของโปที่ร้านอาหารของอาปิง ซึ่งเป็นการบอกใบ้อย่างชัดเจนถึงความเกี่ยวพันของทั้งสอง ลีบอกโปว่าเขากำลังหาลูกชาย ส่วนโปซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยก็บอกว่าเขาไม่เคยเห็นใครที่เข้าเค้าเลยนะ ในขณะที่ทุกคนที่อยู่รอบๆ มองออกกันหมดแล้ว และได้แต่พูดกันว่า 'นี่ไม่รู้จริงง่ะ? "นั่นเป็นช่วงหนึ่งที่ฉันชอบมากที่สุดในหนังเลยค่ะ" ยูห์ เนลสันกล่าว "เป็นการเสนอภาพที่น่าสนุกว่าเขาทั้งสองเหมือนกันแค่ไหน" สุดท้ายโปกับลีก็ปะติดปะต่อเรื่องราวจนได้ และไบรอัน แครนสตัน ผู้พากย์เสียงเป็นหลี่กล่าวว่า พ่อลูกที่ได้กลับมาพบกันใหม่ก็ได้พบว่า "ทั้งสองมีความสนใจอย่างเดียวกัน มีอุปนิสัยคล้ายคลึงกัน และชอบกินเหมือนกัน... เอ๊ะ ผมบอกรึยังว่าพวกเขารักการกินมาก" "โปตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้มากๆ" แบล็คกล่าว "เขาดีใจมากที่ได้พบพ่อที่เป็นแพนด้า" การเลือกแครนสตันมารับบทเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทีมงาน "ไบรอันแสดงออกมาได้อย่างลึกซึ้งและเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ ซึ่งช่วยให้ลีเป็นตัวละครที่เปราะบางและรู้จักเห็นอกเห็นใจ" ยูห์ เนลสันกล่าว "เขามีประวัติการทำงานที่ยอดเยี่ยมในบทตลก รวมถึงบทพ่อใน 'Malcolm in the Middle' เราต้องการตัวละครที่คุณจะตกหลุมรักและสนุกไปกับตัวละครด้วย และไบรอันก็ทำได้ตรงตามนั้นเลย" คาร์โลนีกล่าวเช่นกันว่าบทนี้ "ดึงความอบอุ่นและเสน่ห์ของไบรอันออกมา" แต่หลี่ยังมีอย่างอื่นมากไปกว่าความสนุกสนาน การเล่นเกม และการกินติ่มซำ เกล็นน์ เบอร์เกอร์กล่าวว่า "คุณจะได้ตระหนักว่าอารมณ์ขันของหลี่ใช้ปกปิดความรู้สึกที่เขาเก็บไว้ลึกๆ ภายใน สิ่งที่ไบรอันทำในฉากเหล่านั้นโดยใช้แค่เสียงน่าทึ่งมาก เขาสามารถลอกเปลือกของตัวละครออกมาได้" แครนสตันบรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญตอนที่หลี่เผยด้านที่อ่อนแอและอ่อนไหวออกมา "หลี่ให้โปดูรูปแม่ซึ่งตายไปนานแล้วและรักโปมาก เธอปกป้องโปและซ่อนโปไว้ขณะที่หมู่บ้านถูกโจมตี" เมลิสซา ค็อบบ์กล่าวว่านั่นเป็นฉากสำคัญเพราะ "เป็นช่วงเวลาที่โปจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของพ่อ ด้านที่อ่อนแอ" คาร์โลนีกล่าวว่าเขาชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปกับหลี่ช่วงหนึ่งที่ตลกและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ส่วนตัวของเขาด้วย "ลีลองใส่เกราะแล้วมันก็ทิ่มโปอยู่ตลอดเวลา" เขาอธิบาย "เมื่อหลายปีก่อน เรื่องคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับพ่อ ผมชอบมอเตอร์ไซค์และพ่อผมก็แนะนำให้ผมรู้จักเพื่อนที่มีมอเตอร์ไซค์ ผมกับพ่อใส่หมวกกันน็อคแล้วพ่อก็แกล้งเอาหัวมาชนผม มีจุดหนึ่งในชีวิตที่คุณไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้วและคุณก็มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่อย่างเท่าเทียมกัน ผมว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่พิเศษในหนังของเรา" เมื่อโปกับหลี่ผูกสัมพันธ์กัน อาปิง (พากย์เสียงโดยเจมส์ ฮอง นักแสดงขายฝีมือที่มีผลงานทั้งทางภาพยนตร์และโทรทัศน์กว่า 600 เรื่อง) ก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นคง ปิงรักโป แต่กลัวว่าจะต้องเสียโปไปให้พ่อที่แท้จริง อาปิงอาจยอมสละลูกจ้างที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวให้ความยิ่งใหญ่ของกังฟู แต่เขาก็ภาคภูมิใจในตัวลูกชายแพนด้าเป็นอย่างมาก ก็เหมือนพ่อแม่ที่ถูกทิ้งอยู่ที่บ้าน เขากังวลว่าจะถูกลืม "อาปิงไม่ได้ยินดีนักที่หลี่เข้ามา" แครนสตันกล่าว "โปต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นใคร ขณะเดียวกันพ่อทั้งสองก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความสำคัญต่อลูกชายของตน" สำหรับฮอง การกลับไปพากย์เสียงเป็นอาปิงก็เหมือนการกลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า "การใช้เวลาอยู่กับตัวละครนี้เป็นเรื่องสนุกมากครับ" เขากล่าว ภัยคุกคามจากแดนอื่น ตัวละครอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นคล้ายพ่อหรือครูของโปก็คืออูเกว (พากย์เสียงโดยแรนดัลล์ ดุค คิม) เต่าโบราณซึ่งตามตำนานของเรื่องนี้ได้สร้างวิชากังฟูขึ้นเพื่อให้ผู้ที่อ่อนแอได้ปกป้องตนเอง แม้ว่าอูเกวได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ทิ้งกังฟูไว้เป็นมรดกตกทอดให้ผู้ที่ไว้วางใจได้อย่างชิฟู โป และจอมยุทธทั้งห้า อูเกวยังคงเป็นบุคคลที่สงบและน่าเกรงขามในโลกแห่งวิญญาณ แต่การต่อสู้กับนักรบผู้ทรยศเขาเมื่อนานมาแล้วได้นำไปสู่เหตุหายนะที่คุกคามทุกคนในหุบเขาแห่งสันติและไกลออกไป อูเกวและนักรบที่ชื่อ ไค เคยเป็นพี่น้องที่ร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ แต่การค้นพบพลังชี่อันเป็นพลังแห่งชีวิตและสามารถนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทั้งร้ายและดี ได้ทำให้ทั้งสองแตกคอกัน ไคถูกล่อลวงด้วยพลังชี่ซึ่งเขาตั้งใจจะเก็บไว้เอง ขณะที่อูเกวอยากแบ่งปันพลังนี้ให้แก่โลก เมื่อไคพบหนทางที่จะได้พลังชี่มา อูเกวจึงขับไล่ไคไปยังโลกแห่งวิญญาณชั่วนิรันดร์ แผนการเป็นอย่างนั้น แต่ในโลกแห่งวิญญาณ ไคได้ดึงพลังชี่มาจากปรมาจารย์นับพันๆ รายโดยเก็บไว้เป็นเครื่องรางหยกบนเข็มขัดของเขา ด้วยพลังที่สะสมมานี้ เขาจึงเอาชนะอูเกวได้และเป็นอิสระจากโลกแห่งวิญญาณและเดินทางมายังโลก ไคกวัดแกว่งดาบหยกเปล่งแสงแล้วตระเวนไปทั่วเมืองจีน พร้อมกับเอาชนะและขโมยพลังชี่จากจอมยุทธกังฟูมาเพิ่มอีก เมื่อไคแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านการต่อสู้แต่ละครั้ง เขาถึงขั้นนำเครื่องรางเหล่านั้นมาใช้สร้างกองทัพซอมบี้หยกหรือ "จอมบีส์" ไคและจอมบีส์ออกควานหาศิษย์ของอูเกวไปทั่วยุทธภพ รวมถึงจอมยุทธทั้งห้า และสุดท้ายอสรพิษ กระเรียน วานร ตั๊กแตน และแม้กระทั่งชิฟูก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสมุนสีเขียวของไคไปทีละคนๆ เพื่อถ่ายทอดส่วนผสมของสุดยอดตัวร้ายที่มีทั้งพลังเหนือธรรมชาติและความขำขัน ทีมงานตัดสินใจหันไปหา เจ เค ซิมมอนส์ นักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์จากการแสดงอันโดดเด่นใน "Whiplash" เมื่อปี 2014 การจับคู่ระหว่างซิมมอนส์กับไคช่วยกระตุ้นความสร้างสรรค์ให้ทีมงาน KUNG FU PANDA 3 เป็นอย่างดี "เรามีตัวร้ายชื่อไคมานานแล้ว แต่ดูเหมือนมีอะไรติดขัดอยู่จนกระทั่งเราเลือก เจ เค เข้ามาร่วมงาน" เบอร์เกอร์กล่าว "เหมือนเราได้บรรลุเลยว่า อ้อ ตัวร้ายตัวนี้น่าสนใจที่ตรงนี้เอง เขามีร่างมหึมาน่าเกรงขาม มีพลังเหนือธรรมชาติ และไม่มีสิ่งใด,kหยุดยั้งได้ แต่เขาก็รู้สึกไม่มั่นคงด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่เจ เค นำมาใส่ลงในตัวละครนี้" เอเบลชี้ว่าเช่นเดียวกับแครนสตัน ซิมมอนส์เป็นนักแสดงตลกก่อนที่จะมาโด่งดังจากผลงานใน "Whiplash" "สำหรับเจ เคและไค เราต้องการผสมผสานความตลกกับความชั่วร้าย เพราะเราต้องการตัวร้ายที่น่ากลัว แต่หลายครั้งก็ตลกด้วย เจ เค ทำให้ไคดูตลกแต่ก็ยังคงความอันตรายเอาไว้" คาร์โลนีระบุว่าซิมมอนส์สร้างเสียงหัวเราะขำกลิ้งหลายครั้งในหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ตอนที่ไคเข้าสู่โลกของคนตาย เขาได้พบเป็ดและห่านที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร "เขาไม่พอใจเอามากๆ" คาร์โลนีกล่าว "เจ เค และนักสร้างแอนิเมชันของเราถ่ายทอดความขมขื่น ความไม่มั่นคง ความอิจฉาริษยา ความกระวนกระวาย และความคลอนแคลนใจในตัวไคได้อย่างแท้จริง" "ไคคาดหวังให้ทุกคนกลัวเขา ให้กลัวจนตัวสั่นเมื่อเขาปรากฏตัว" ซิมมอนส์เสริม "แต่หลายคนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นัก" ยูห์ เนลสันระบุว่าไค "ใจร้ายเหี้ยมโหดและเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่มีทางลัดในการเป็นเจ้ากังฟู การขโมยพลังชี่มาจากคนอื่น ไม่ใช่ได้มาด้วยตนเองนั้นก็เท่ากับว่าเขาขี้โกงและไม่ได้พยายามทำให้เต็มที่เท่าที่เขาจะทำได้ นั่นเป็นสิ่งที่อูเกวพยายามช่วยให้เขาเข้าใจ" ในการสร้างตัวร้ายตัวใหม่นี้ ยูห์ เนลสัน กล่าวต่อไปว่า "เราต้องการก้าวขึ้นไปอีกระดับและสำรวจความเหนือธรรมชาติของพลังชี่ การควบคุมพลังนี้ได้ถือเป็นกังฟูในระดับสูง" เอฟเฟ็กต์การขโมยพลังชี่ได้มาจากสิ่งที่ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ มาร์ค เอ็ดเวิร์ดส์ เรียกว่า "ธีมวงกลม เราอ้างถึงวงกลมรัศมีของพลังชี่ในหนังภาคก่อนๆ แต่นำมันขึ้นไปสู่อีกระดับในภาคนี้ ด้วยการนำพลังชี่มาจากคนอื่น ไคได้สกัดเอาแก่นแท้ของคนคนนั้นมา ซึ่งเราแสดงให้เห็นเป็นรูปวงกลมสนามพลังที่ถูกดึงออกจากตัวเหยื่อเข้ามาสู่ตัวไค" ไคเข้าร่วมครอบครัวตัวร้ายใน KUNG FU PANDA ซึ่งสมาชิกคนอื่นๆ ได้แก่ ไต้ลุง (เอียน แม็คเชน) จากภาคแรก สัตว์ร้ายที่ต่อยภูเขาจนทะลุได้ และอ๋องเชน (แกรี โอลด์แมน) นกยูงที่ดูไม่น่ากลัวแต่กลับมีทักษะการต่อสู้ ความรวดเร็ว และอาวุธอันร้ายกาจซึ่งรวมถึงปืนใหญ่ขนาดยักษ์ "ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับที่จะเทียบชั้นตัวละครเหล่านี้" ซิมมอนส์กล่าว ขณะที่ยูห์ เนลสัน ระบุว่าทั้งสามมีทัศนคติคล้ายคลึงกัน "ตัวร้ายทุกตัวของ KUNG FU PANDA มีความเกลียดชังส่วนตัวอยู่ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับไค เราเพิ่มระดับขึ้นไปอีกหน่อย เขามองว่าอูเกวทรยศหักหลังเขา คนที่ไคเชื่อใจที่สุดและเคยออกสงครามด้วยกันกลับเลือกคนอื่นแทนที่จะเลือกเขา เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมไคจึงไม่พอใจ" รวมพลัง(แพนด้า)ทั้งหมู่บ้าน คนเดียวที่จะต่อกรไคได้ก็คือปรมาจารย์แห่งพลังชี่ และครูผู้สอนพลังชี่ได้มีแต่แพนด้า หรือไม่หลี่ก็บอกโปอย่างนั้น ยิ่งกว่านั้นเอเบลกล่าวว่า "ด้วยการกลับไปพบกับหลี่ โปจึงเริ่มสงสัยว่า ฉันเป็นแพนด้าประเภทไหนกันถ้าฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นแพนด้าได้ยังไง" ดังนั้น โป หลี่ และอาปิงจึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านแพนด้า ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะแต่กลับดูเขียวชอุ่มน่าอยู่อาศัย หมู่บ้านแพนด้าตั้งอยู่บนน้ำพุร้อนและให้บรรยากาศของสถานที่ธรรมชาติในตำนานอันงดงามท่ามกลางไอหมอก กล่าวสั้นๆ ได้ว่ามันคือสวรรค์สำหรับแพนด้า มีแพนด้าอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งแพนด้าวัยทารก แพนด้าผู้ชรา และแพนด้าเต้นริบบิ้น แล้วตอนนี้ก็มีกังฟูแพนด้าด้วย เมื่อโปได้พบแพนด้าในหมู่บ้าน เขาจึงเรียนรู้ว่าการเป็นแพนด้ามีความหมายอย่างไรและเปิดรับคุณสมบัติพิเศษของตนเอง ในที่สุดโปก็ได้ค้นพบความเป็นมา...และบ้านของเขา "นับเป็นช่วงเวลาอันซาบซึ้งที่โปได้พบเพื่อนพ้องแพนด้าในที่สุด" แจ็ค แบล็คกล่าว "เขารู้สึกผิดที่ผิดทางอยู่เสมอ แล้วจู่ๆ ก็ได้มาอยู่ในที่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยพวกพ้องพันธุ์เดียวกัน เป็นการเดินทางทางอารมณ์ที่สุดยอดสำหรับโป มันเปิดโอกาสความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและทำให้เขาตื้นตันใจ" ยูห์ เนลสันกล่าวว่า การเดินทางไปยังหมู่บ้านแพนด้านับเป็นประสบการณ์ใหม่อันน่ามหัศจรรย์สำหรับโป และแตกต่างจากการผจญภัยอื่นๆ ใน KUNG FU PANDA "หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเดินทางอันโดดเดี่ยวของโป" เธออธิบาย "เขาเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชุมชนทั้งชุมชน และในทางกลับกันแพนด้าในชุมชนนี้ก็ช่วยเปลี่ยนเขาไปด้วย เป็นพัฒนาการร่วมกัน "โปอยู่กับแพนด้าเหล่านี้ซึ่งได้ค้นพบตัวตนที่ดีที่สุดของตนเองและช่วยให้โปได้พบตัวตนที่ดีที่สุดของเขาด้วย" เธอกล่าวต่อ "เป็นความหมายเชิงบวกว่าคุณไม่ได้อยู่ตามลำพังในโลกใบนี้ คุณมีเพื่อนและครอบครัวที่คอยเป็นห่วงและช่วยให้คุณเข้มแข็งขึ้นมาได้" คาร์โลนีเสริมว่า "ที่หมู่บ้านแพนด้า โปได้ตระหนักว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอื่นได้ คุณต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่คุณเป็นได้ ดังนั้นความหมายหลายๆ ระดับของหนังจึงมารวมกันในช่วงเวลาที่โปตระหนักถึงความจริงข้อนี้" ความเข้มแข็งที่เพิ่งค้นพบช่วยให้โปยอมรับในสิ่งที่เขากำลังวิ่งหนีและกลายเป็นครูเหมือนอย่างที่ชิฟูรู้ว่าเขาเป็นได้ทันเวลาพอดี ปรากฏว่าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้โปกลับไปยังหมู่บ้านแพนด้าพร้อมกับหลี่ และเพื่อไม่ให้ต้องเสียลูกชายไปอีกครั้ง หลี่ได้พูดโกหก ไม่ได้มีพลังชี่ที่จะสยบไคได้อยู่ที่หมู่บ้าน เพราะรู้ว่าจำนวนมากย่อมได้เปรียบและเขาต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดเท่าที่หาได้เพื่อปราบไค กังฟูแพนด้าของเราจึงต้องสอนกังฟูให้แพนด้าในหมู่บ้าน นักเรียนที่ดูมีหวังมากที่สุดก็คือเม่ยเม่ย นักเต้นระบำริบบิ้นผู้ร่าเริง เธอเป็นพลังขับเคลื่อนและผู้สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าแพนด้า "เม่ยเม่ยเหมือนมีพลังวิเศษอยู่ในตัวเอง" แบล็คกล่าว เธอเป็นตัวละครที่มั่นใจมากที่สุดรายหนึ่งเท่าที่โปเคยพบมา "เขาไม่เคยพบผู้หญิงสายพันธุ์เดียวกันกับเขามาก่อน" คาร์โลนีกล่าว "โปต้องมาพบสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้แพนด้าสาวตัวใหญ่ผู้มีความมั่นใจ" "โปไม่รู้ว่าอะไรที่โดนใจเขา" เคต ฮัดสันผู้พากย์เสียงในบทนี้กล่าวเสริม "เธอมาแรงมากและไม่เหมือนใครๆ ที่เขาเคยพบมาก่อน" ฮัดสันรู้สึกคุ้นเคยกับตัวละครนี้และโลกของเธอทันที "เม่ยเม่ยต้องออกแสดงอยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันเข้าใจดี" เธอกล่าวพร้อมกับหัวเราะ "ในตอนแรกฉันไม่รู้ว่าจะออกตัวเต็มที่ได้มากแค่ไหน แต่ก็เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าเม่ยเม่ยไม่เกรงใจใคร แล้วฉันก็เริ่มคิดว่าน่าจะดีนะถ้าเราทุกคนมีความมั่นใจแบบเธอ" "เคตถ่ายทอดเสน่ห์และความมั่นใจที่ทำให้เม่ยเม่ยดูน่ารักและสนุกสนาน" คาร์โลนีกล่าว ค็อบบ์เสริมว่า "เคตกล้าหาญและใส่เต็มที่ในห้องอัดเสียง เธอมักลองทำเสียงแปลกๆ เน้นสำเนียงหนักๆ ซึ่งหลายส่วนก็ได้ปรากฏอยู่ในหนัง" ความน่าตื่นเต้นของเม่ยเม่ยมาจากทักษะการต่อสู้ของเธอเป็นส่วนใหญ่ "ฉันชอบที่เม่ยเม่ยเป็นขาลุยจริงๆ" ฮัดสันกล่าว "เธอกลายเป็นนักรบที่มีพลังแบบผู้หญิง เธอแข็งแกร่งแต่ก็มีความเป็นผู้หญิงเต็มร้อย" ศิษย์ที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งของโปก็คือบาว (พากย์เสียงโดยสตีล แก็กนอน) แพนด้าตัวกลมเล็กน่ารัก แต่เมื่ออันตรายเข้ามาคุกคามหมู่บ้านแพนด้า บาวก็พร้อมที่จะสู้เคียงข้างโปและปกป้องบ้านของเขา เวียนบรรจบครบรอบ นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมอันคุ้นเคยในหุบเขาแห่งสันติ KUNG FU PANDA 3 ยังได้นำเราไปสู่สถานที่และดินแดนใหม่ๆ ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น รวมถึงหมู่บ้านแพนด้าด้วย เพื่อสร้างโลกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทีมนักทำหนังได้ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย รวมถึงซอฟต์แวร์แอนิเมชันตัวใหม่ เทคนิคการเรนเดอร์และระบบเสียงที่ได้รับการพัฒนา ความเปลี่ยนแปลงในแง่การสร้างขนของตัวละครและซอฟต์แวร์ให้แสงตัวใหม่ รวมถึงวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การสำรวจสถานที่ โดยรวมแล้ว KUNG FU PANDA 3 ใช้เวลากว่า 60 ล้านชั่วโมงในการเรนเดอร์ ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างภาพจากโมเดลสองมิติหรือสามมิติด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ภาคแรกใช้เวลา 20 ล้านชั่วโมง และภาคที่สองใช้ 50 ล้านชั่วโมง เมลิสซา ค็อบบ์ กล่าวว่าความก้าวหน้าเหล่านี้ใช้เพื่อการเล่าเรื่องและนำเสนอตัวละคร "สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราได้สำรวจโอกาสที่เพิ่มมากขึ้นในการถ่ายทอดการแสดงออกมาให้ดีที่สุด ตอนนี้เราสามารถรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการแสดงและอารมณ์ของตัวละครได้ทันที" เพื่อสร้างหมู่บ้านแพนด้า ทีมงานได้รวม "ของเก่า" เข้ากับ "ของใหม่" ในช่วงเริ่มต้นกระบวนการ ทีมงานได้สำรวจสถานที่หลายแห่งในจีนซึ่งนำมาเป็นแรงบันดาลใจในหลายส่วน "การเดินทางครั้งนั้นช่วยวางพื้นฐานในการพัฒนางานภาพของ KUNG FU PANDA 3 รวมถึงหมู่บ้านแพนด้าด้วย" ค็อบบ์กล่าว สถานที่สำคัญก็คือ King Chen Mountain แหล่งกำเนิดของลัทธิเต๋าและที่อยู่อาศัยของแพนด้าตามธรรมชาติ "เมื่อโปกับลีมาถึงหมู่บ้านแพนด้า หมอกที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณก็จางลงแล้วคุณก็จะได้เห็นสถานที่อันมหัศจรรย์ ส่วนนั้นมาจากประสบการณ์ของเราในการปีนเขาลูกนั้นนั่นเอง" ค็อบบ์เล่า "เราปีนเขาผ่านป่าเขียวชอุ่มและพบที่พักซึ่งทำจากไม้ตะปุ่มตะป่ำคลุมด้วยมอสทำให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ" ยูห์ เนลสันเสริม "ที่นั่นช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้สิ่งก่อสร้างมากมายในหมู่บ้านแพนด้า" นักออกแบบงานสร้าง เรย์มอนด์ ซิบาค ซึ่งรับผิดชอบงานภาพทั้งหมดมาตลอดสามภาค รวมถึงการออกแบบตัวละคร การออกแบบสถานที่ สีสัน การให้แสง และงานศิลป์ กล่าวว่า ใน KUNG FU PANDA 3 เขาอยากกลับไปสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า "สภาพแวดล้อมในตำนาน" ซึ่งรวมถึงหมู่บ้านแพนด้าอันยิ่งใหญ่บนภูเขาและความมหัศจรรย์อันไม่มีที่สิ้นสุดของโลกแห่งวิญญาณ "สถานที่เหล่านี้ถูกยกระดับให้มีความยิ่งใหญ่" เขากล่าว "ผมชอบการออกแบบแนวนี้นะ จะได้ลองดูว่าคุณผลักดันมันไปได้ไกลแค่ไหน" โลกแห่งวิญญาณเป็นโลกความจริงคู่ขนานที่ไม่มีแนวคิดเรื่องเวลา เป็นที่ซึ่งการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วเกิดขึ้น ที่นั่นโปต้องล้มไคลงให้ได้ในการต่อสู้นัดชี้ชะตาของ KUNG FU PANDA ด้วยความช่วยเหลือจากกังฟูแพนด้ารุ่นใหม่ถอดด้ามในหมู่บ้านแพนด้า การเผชิญหน้าในฉากไคลแม็กซ์ของโปใน KUNG FU PANDA 3 ชวนให้นึกถึงฉากหนึ่งจากหนังภาคแรก "ในฉากเปิดของ KUNG FU PANDA โปจินตนาการว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ" คาร์โลนีกล่าว" เราถอดแบบช็อตบางช็อตจากภาคแรกเพื่อมาใช้ในช่วงเวลาสำคัญของเขาในเรื่องนี้" แต่โดยรวมแล้ว จุดมุ่งหมายคือการสร้างโลกที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนใน KUNG FU PANDA ภาคอื่นๆ สำหรับโลกของจิตวิญญาณ "เราสงสัยว่าปรมาจารย์กังฟูเหล่านี้ฝึกฝนพลังชี่กันที่ไหน" ยูห์ เนลสันกล่าว "ในหนังกำลังภายในบางเรื่อง จะมีปรมาจารย์ขั้นสุดยอดนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ทำสมาธิอยู่ เราก็เลยตั้งคำถามว่าแล้วถ้าเป็นในเวอร์ชันของ KUNG FU PANDA ล่ะจะเป็นอย่างไร" ซิบาคมุ่งเน้นความยิ่งใหญ่เป็นตำนานเช่นเคย และได้ออกแบบสิ่งที่เขาเรียกว่า "หยินหยางที่แตกออกเป็นส่วนๆ รูปทรงเชิงบวกและเชิงลบซึ่งทั้งวุ่นวายยุ่งเหยิงและสุขสงบในเวลาเดียวกัน เราสร้างชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมให้ลอยอยู่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในสภาพหยินหยางที่แตกออกเป็นส่วนๆ นี้" ความแปลกประหลาดของโลกแห่งวิญญาณยิ่งปรากฏชัดขึ้นด้วยการใช้ "Scroll-Vision" อันเป็นการผสมผสานระหว่างแอนิเมชันสองมิติและสามมิติที่ได้แรงบันดาลใจจากม้วนกระดาษโบราณแบบจีนและคล้ายคลึงกับภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้ "นี่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน การใช้ภาพกราฟฟิกประดิษฐ์แบบสองมิติแต่นำมาอยู่ในบรรยากาศแบบสามมิติที่สร้างขึ้นด้วยซีจี" ยูห์ เนลสันกล่าว ซิบาคขยายความเกี่ยวกับตัวม้วนกระดาษจริงซึ่งมีชื่อว่า "Along the River During the Qingining Festival" อันเป็นแรงบันดาลใจให้เทคนิคภาพยนตร์แบบใหม่นี้ "มันเหมือนภาพโมนาลิซาของจีน เป็นงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ เป็นภาพที่ยาวตลอดความยาวห้อง คุณสามารถเดินไปตามม้วนภาพนี้และสังเกตดูขบวนแห่ของผู้คนที่ไปเทศกาล ดังนั้นเราจึงใช้ส่วนนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อเล่าเรื่องราวที่ขยายใหญ่ขึ้นและช็อตทั้งหมดจะไหลจากขวาไปซ้าย เหมือนเวลาที่คุณอ่านม้วนกระดาษ ช็อตเหล่านี้ดูเหมือนภาพวาด และมีแอนิเมชันที่วาดด้วยมือแล้วใส่เอฟเฟ็กต์ลงไปภายหลัง มันดูเหมือนภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้" โดยเล่าเรื่องราวภูมิหลังของอูเกวกับไค เรื่องราวของครอบครัว ตอนที่เราพบโปในภาคแรก เขาเป็นคนนอกที่ดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เขารักอาปิงผู้เป็นพ่อ แต่ไม่ได้มีความฝันอยากทำกิจการขายติ่มซำเหมือนพ่อ โปใฝ่ฝันถึงความยิ่งใหญ่ในวิชากังฟู แต่ดูเหมือนเขายังขาดอีกหลายอย่างในการเป็นจอมยุทธกังฟู รวมถึงสภาพร่างกายและรูปร่างที่เหมาะสม ความรู้สึกของการเป็นคนนอกเป็นสิ่งที่ผู้ชมทุกเพศทุกวัยในทุกๆ ที่เข้าใจได้ทันที ค็อบบ์กล่าวว่า "ทุกๆ วันคนเรามักรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกและไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพราะต่างก็คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหนหรือประสบความสำเร็จมากเพียงใด ทุกคนก็เคยมีประสบการณ์อย่างนี้กันทั้งนั้น" แต่ในไม่ช้าโปก็เรียนรู้ว่าเขามีสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเป็นกังฟูแพนด้าตัวแรกของโลก นั่นคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าท้องพลังเทอร์โบของเขา และเขาก็เชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามีอาปิง พ่อผู้ทุ่มเท แล้วโปก็ได้อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ชิฟูและเป็นสมาชิกในครอบครัวจอมยุทธทั้งห้า และใน KUNG FU PANDA 3 โปก็ได้พบพ่อทางสายเลือด หลี่ รวมถึงชุมชนแพนด้าซึ่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาเพื่อนพ้องที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครอบครัวในรูปแบบต่างๆ กันช่วยให้โปเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ และชี้ให้เห็นถึงคุณค่าอันไม่มีที่สิ้นสุดของการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ไม่ว่าครอบครัวนั้นจะดู "หลุดกรอบ" เพียงใดก็ตาม "ผู้ชมเปิดรับความเป็นจริงที่ว่าเราอาจนิยามครอบครัวได้แตกต่างกันมากมาย แต่ครอบครัวก็ช่วยมอบความเข้มแข็งให้เราได้จริงๆ" ค็อบบ์กล่าว ลูซี ลิว เสริมว่า "ชุมชนสามารถเป็นครอบครัวให้คุณได้ ไม่ใช่แค่ว่าคุณเกี่ยวข้องกับใครทางกรรมพันธุ์" เช่นเดียวกับที่ครอบครัวรับบทบาทสำคัญในการเดินทางของโป ครอบครัวก็ใช้อธิบายถึงความสัมพันธ์ของทีมงานเบื้องหลังได้เช่นกัน KUNG FU PANDA สร้างขึ้นโดยครอบครัวคนทำหนัง ซึ่งหลายคนทำงานด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้นไตรภาคเมื่อสิบสองปีก่อน ความรักที่ทีมงานมีต่อหนังกำลังภายในสะท้อนอยู่ในความรักที่โปมีต่อกังฟู ทำให้ทีมงานได้บูชาครูพร้อมกับสร้างหนังแนวนี้มาขึ้นมาใหม่ด้วยอารมณ์ขันและความน่าประทับใจ ยูห์ เนลสัน กล่าวว่าเธอโตมากับหนังกังฟูและเปรียบเทียบการสร้างหนัง KUNG FU PANDA 3 กับ "การกลับไปเยี่ยมครอบครัว เพราะเราทำงานด้วยกันมานานและฟูมฟักตัวละครเหล่านี้มาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เรารักตัวละครเหล่านี้มาก และปฏิบัติต่อตัวละครเหล่านี้ด้วยความเคารพ รวมทั้งใส่ความสนุกสนานลงไปด้วย" ก่อนมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับในหนังภาคสอง ยูห์ เนลสันเป็นผู้ควบคุมฉากแอ็คชันและผู้กำกับฉากความฝันใน KUNG FU PANDA "ถ้าจะมีใครรู้จักโลกใบนี้และตัวละครเหล่านี้เป็นอย่างดี ก็ต้องเป็นเจนนี่ล่ะค่ะ" ค็อบบ์กล่าว คาร์โลนีเองก็อยู่กับทีมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก จึงเอื้อให้เกิดการทำงานสร้างสรรค์และการสื่อสารแลกเปลี่ยนกับยูห์ เนลสันอย่างเข้าขากัน เจ เค ซิมมอนส์เปรียบเทียบการจับคู่ระหว่างยูห์ เนลสันกับคาร์โลนีว่าเหมือนการทำงานของสองคู่หูอย่างพี่น้องโคเอน "เช่นเดียวกับโจเอลและอีธาน เจนกับอเลสซานโดรเข้าใจกันและกันดี แต่ขณะเดียวกันก็นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างกันด้วย ช่วยให้นักแสดงมีอิสระที่จะเล่นกับตัวละครได้เต็มที่เพราะคุณมั่นใจว่าทั้งสองจะตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้อง" มือเขียนบทโจนาธาน เอเบลและเกลนน์ เบอร์เกอร์ ซึ่งเขียนบทหนังทั้งสามภาค ชี้ให้เห็นว่าการที่ทีมงานสื่อถึงกันได้ในเชิงสร้างสรรค์ช่วยให้สามารถ "มุ่งตรงไปยังแนวคิดที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นของคุณหรือไม่ สิ่งนี้เองที่จะช่วยให้เราได้หนังที่ดีที่สุด" เบอร์เกอร์กล่าว เอเบลเสริมว่า "เรารู้จุดแข็งของกันและกันและไว้เนื้อเชื่อใจกันเต็มที่ การแลกเปลี่ยนสื่อสารแนวคิดต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น" เรย์มอนด์ ซิบาค นักออกแบบงานสร้างเห็นพ้องด้วย "ไม่มี 'กำแพง' ด้านการสื่อสารให้เราต้องทลาย ดังนั้นเราจึงสามารถลงมือทำตามแนวคิดต่างๆ ได้ทันที" "เราสื่อสารกันได้ในความเงียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจน ผมรู้ว่าเธอชอบสิ่งนี้หรือไม่โดยไม่ต้องพูดกันเลยซักคำเดียว นับเป็นการเดินทางที่พิเศษจริงๆ ค่ะ" มือตัดต่อ แคลร์ ไนท์กล่าว การเดินทางของไนท์ในหนังทั้งสามเรื่องไม่เพียงพิเศษสุดแต่ยัง "ครอบคลุมหลายประเด็นในแง่ชีวิตและการทำงาน รวมถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานด้วย" ซึ่งก็มีเหตุผลอยู่เพราะระหว่างทำหนัง KUNG FU PANDA เธอได้พบ หมั้น และแต่งงานกับสามีนักแสดง เวย์น ไนท์ ซึ่งมาพากย์เสียงให้ตัวละครตัวหนึ่งในหนังภาคนั้น ใน KUNG FU PANDA 2 เธอได้ลูกชาย (ซึ่งให้เสียงเป็นโปในวัยทารก) และตอนนี้ทั้งสามีและลูกชายของเธอก็มาพากย์เสียงใน KUNG FU PANDA 3 สมาชิก "ครอบครัว" อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่กันมานานก็คือหัวหน้าฝ่ายแอนิเมชันตัวละคร แดน แวกเนอร์ ซึ่งเป็นผู้กำหนดสไตล์แอนิเมชันให้ตัวละครแต่ละตัว หัวหน้าฝ่ายเนื้อเรื่อง ฟิล คราเวน ซึ่งทำงานร่วมกับมือเขียนบทและผู้กำกับอย่างใกล้ชิดเพื่อระดมแนวคิดในการแต่งเรื่องนี้ ผู้ควบคุมแอนิเมชัน รูดอล์ฟ กิวโนเดน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกังฟูให้หนังเรื่องนี้ และนักแต่งเพลงผู้ชนะรางวัลออสการ์ ฮานส์ ซิมเมอร์ ซึ่งนอกเหนือจากไตรภาค KUNG FU PANDA แล้ว ยังมีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ "The Lion King", ไตรภาค "The Dark Knight", "Gladiator" และหนังในตระกูล "Pirates of the Caribbean" ซิมเมอร์สรุปสิ่งที่ทำให้เขาสนใจแฟรนไชส์นี้ว่ามาจากความขัดแย้งกันของคำสองคำในชื่อเรื่อง "กังฟูกับแพนด้า! ผมเคยดูหนังกังฟูมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นหนังพวกนี้ตรงใจผมอยู่แล้ว" ขณะที่ศิลปะการต่อสู้และความตลกของหนังเป็นสิ่งดึงดูดนักแต่งเพลงผู้มีชื่อเสียงรายนี้ เขายังได้ระบุด้วยว่า พื้นฐานในวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องดนตรี ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ที่จริงแล้วใน KUNG FU PANDA 3 ซิมเมอร์ได้ร่วมงานกับนักดนตรีชาวจีนผู้มีชื่อเสียงระดับโลกไม่น้อยกว่าสี่คน คือ นักเปียโน หลาง หลาง, นักเชลโล เจียน หวาง, นักเล่นผีผา (pipa) หวู่ มั่น และนักเล่นเอ้อหู กัว กาน ซิมเมอร์กล่าวว่าการทำงานกับศิลปินผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้สอดคล้องกับความสนุกสนานภายในหนัง "เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทดลอง เราทำให้สายชื้นและทารุณกรรมเปียโน Steinway ที่น่าสงสาร เหมือนได้ออกผจญภัยครั้งใหญ่กับนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ครับ" ความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับซิมเมอร์ เช่นเดียวกับนักทำหนังอีกหลายรายคือการก้าวไปให้ไกลกว่าและเหนือกว่าสิ่งที่เคยทำมาในสองภาคแรก "เราต้องการให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์"เขาอธิบาย พร้อมกับยกฉากหมู่บ้านแพนด้ามากล่าวถึงเป็นพิเศษ "หมู่บ้านแพนด้าต้องให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่ที่คุณอยากอยู่ตลอดเวลา ฉากเปิดตัวหมู่บ้านขณะที่โป หลี่ และปิงมาถึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ มันเป็นที่หลบภัยอันสงบสุขในดินแดนห่างไกล ทั้งงดงามและมีเสน่ห์น่าค้นหา" ซิมเมอร์พบความท้าทายในเชิงสร้างสรรค์ในบางโอกาสที่ไม่บ่อยนัก "ผมก็แค่เตือนตัวเองว่า 'นี่คือแจ็ค แบล็ค'" เขากล่าว "เสน่ห์ของหนังไตรภาคนี้มาจากการพูดและจังหวะในการเล่นตลกที่มีความพิเศษตามแบบฉบับของเขา ดังนั้นสำหรับผมแล้วกุญแจสำคัญในการแต่งเพลงคือดูการแสดงของแจ็คว่าเขาจะทำอะไรต่อไป" ส่วนที่เข้ามาเสริมเพลงประกอบของซิมเมอร์คือการออกแบบเสียงโดยหัวหน้าผู้ตัดต่อเสียงที่ชนะรางวัลออสการ์ อีริค อาดาห์ลและอีธาน แวน เดอร์ ริน ("Argo") หลังจากทั้งคู่เคยทำงานในหนังสองภาคแรก สำหรับฉากศิลปะการต่อสู้นั้น "ความท้าทายของเราคือการสร้างสมดุลระหว่างความมันของฉากต่อสู้กับความสนุกสนานขี้เล่น" แวน เดอร์ รินกล่าว ส่วนอาดาห์ลเสริมว่า "เราต้องการให้ซาวด์มีทั้งความสนุกและความไพเราะเพื่อที่ว่าผู้ชมจะได้รับประสบการณ์ทางโสตประสาทอย่างเต็มอิ่ม" ฉากการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับทีมงานทั้งสอง "สิ่งที่ประทับใจผมในหนังภาคแรกคือการต่อสู้มีจังหวะจะโคนคล้ายดนตรีมาก" อาดาห์ลกล่าว "จากจุดนั้นเราจึงต้องการสร้างเสียงดนตรีที่ร่าเริงเพื่อช่วยเพิ่มความสนุกให้ตัวหนัง เรานำเสียงที่เป็นสัญลักษณ์ของหนังกังฟูมาขยาย พวกเสียงเตะต่อยอะไรแบบนั้น และใน KUNG FU PANDA 3 เราได้สร้างเสียงพวกนี้ขึ้นมากว่าพันแบบเพื่อใช้ในฉากต่อสู้" อาดาห์ลและแวน เดอร์ ริน ใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดาในการสร้างเสียงของการกระโดดและการเหินอันเป็นเอกลักษณ์ของโป "ที่โรงถ่ายของ 20th Century Fox เราตั้งไมโครโฟนหลายๆ ตัวไว้ตามความยาวของโรงถ่าย จากนั้นก็ปล่อยเชือกบันจี้ที่ขึงตึงลงมา" อาดาห์ลอธิบาย "คุณจะได้เสียงที่น่าทึ่งนานห้าวินาทีซึ่งมีคุณสมบัติการยืดหยุ่นและดูดซับ สำหรับผม เสียงนั้นเชื่อมโยงกับความเป็นโป" สำหรับฉากในโลกแห่งวิญญาณ อาดาห์ลและแวน เดอร์ ริน ได้สร้างเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ให้พลังชี่ด้านลบของไคและพลังชี่ด้านบวกของโป สำหรับพลังชี่ด้านลบ "เราต้องการเสียงที่น่ารำคาญจนแทบจะแสบแก้วหู" อาดาห์ลระบุ "และเราต้องการให้พลังชี่ของโปฟังดูไพเราะงดงาม เราต้องการให้มันทรงพลังแล้วก็เป็นประกายสว่างไสวด้วย ดังนั้นเราจึงใช้เครื่องดนตรีจีนหลายชนิดเพื่อสร้างโทนเสียงเหล่านี้ขึ้นมา" บางครั้งสิ่งสำคัญในฉากเหล่านั้นขึ้นอยู่กับเสียงที่คุณไม่ได้ยิน "เราตัดเสียงออกหลายส่วนในฉากโลกแห่งวิญญาณ" แวน เดอร์ รินกล่าว "ฉากเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับความสงบภายใน ซึ่งหมายถึงการเน้นเสียงไม่กี่เสียงที่ถ่ายทอดภาวะทางอารมณ์ของตัวละครอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการใช้ที่ว่างเชิงลบมากกว่า" อาดาห์ลกล่าวว่าโทนเสียงสำหรับหมู่บ้านแพนด้านั้นก็ฟังดูเป็น...แพนด้า "เสียงโปรดเสียงหนึ่งของผมคือเสียงแพนด้ากลิ้งตัวและกระแทกกัน นั่นเป็นสิ่งที่เรานำมาเล่นตั้งแต่ในหนังภาคแรก" เขาอธิบาย "เราทดลองหลายครั้งเพื่อให้ได้เสียงกระทบเด้งดึ๋งแบบนั้น และสร้างสิ่งที่เราเรียกว่าเครื่องดนตรี 'gut-bucket' ซึ่งหลักๆ แล้วก็คือถังดีบุกใบใหญ่เอามาคว่ำและเจาะรูด้านบน โดยมีก้านไม้ติดอยู่และมีสายให้เราดีดได้ "ตอนโปรดของผมในหนังเรื่องนี้ก็คือตอนที่แพนด้าทุกตัวกำลังกินและกลิ้งตัวลงมาตามภูเขาเหมือนดินถล่ม พร้อมกับมีเสียงกลิ้งประสานรวมกันเหมือนเป็นซิมโฟนี" ในบรรดาผู้มาใหม่ของครอบครัว KUNG FU PANDA คือศิลปิน ช่างเทคนิค และที่ปรึกษาของ Oriental DreamWorks ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งทำงานร่วมกับทีมงานในเกลนเดล แคลิฟอร์เนียอย่างใกล้ชิด ทีมงานเหล่านี้ได้สร้างก้าวใหม่ด้วยการทำ KUNG FU PANDA 3 ออกมาเป็นสองเวอร์ชั่น โดยตัวละครจะเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับการพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลาง โดยหลักๆ แล้วทีมงานได้สร้างหนังสองเรื่องโดยมีเนื้อเรื่องและตัวละครเดียวกัน เวอร์ชั่นภาษาจีนกลาง ซึ่ง Teng Huatao เป็นผู้กำกับที่ปรึกษาชาวจีน เพิ่มรายละเอียดความแตกต่างในการเล่นมุข รวมถึงมีการด้นสดโดยนักพากย์ชาวเอเซีย แบบที่ไม่สามารถทำได้จากการทำซับไทเทิลหรือการพากย์ทั่วไป การสร้างเวอร์ชั่นภาษาจีนกลางต้องอาศัยทรัพยากรและเวลาเพิ่ม แต่ก็นับว่าคุ้มค่า ยิ่งกว่านั้นพนักงานของ Oriental DreamWorks รวม 200 คนก็ได้ช่วยให้ผลงานมีความสมจริงเพิ่มขึ้นอีก "ก่อนหน้านี้เราต้องทำสิ่งต่างๆ ผ่านการค้นคว้าและอ้างอิง" ยูห์ เนลสันกล่าว "มาตอนนี้เรามีทีมงานชาวจีนที่เป็นผู้สร้างจริงๆ แล้ว" โดยสรุปแล้ว KUNG FU PANDA 3 นับเป็นผลงานของทีมงานจากสองทวีป ซึ่งรวมถึงกองทัพนักแสดง คนทำหนัง ศิลปิน และช่างเทคนิคผู้มีความสามารถ แต่ยังคงมุ่งเน้นไปที่ตัวกังฟูแพนด้าหรือโปเช่นที่เคยเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นแฟรนไชส์ ซึ่งก็ตรงกับความรู้สึกของนักแสดงที่ช่วยให้โปได้มีชีวิตขึ้นมา "โปอยู่ในใจผมเสมอครับ" แจ็ค แบล็คกล่าว "เขาคือตัวผมเลยล่ะ เวลาคนขอให้ผมทำ 'เสียงแบบโป' ผมมักจะถามว่า 'คุณหมายความว่าไง ก็โปคือตัวผมนั่นล่ะ' "ผมไม่ได้ซ่อนอยู่หลังม่าน" เขาเสริม "แต่ผมได้แสดงส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณผมออกมา" https://www.facebook.com/KungFuPandaTH

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ