กรมสุขภาพจิต ย้ำ ผู้ป่วยทางจิต มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง เผย ไบโพลาร์ รักษาหายได้ สำคัญที่ต้องกินยาให้ต่อเนื่อง

ข่าวทั่วไป Monday March 14, 2016 16:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--กรมสุขภาพจิต นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคอารมณ์ผิดปกติที่พบได้บ่อยในทั่วโลก ประมาณ 1-2% พบได้ในผู้หญิงและผู้ชายในอัตราที่เท่ากัน อายุเฉลี่ยที่เริ่มพบ คือ 20-30 ปี อีกทั้ง พบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยฆ่าตัวตายสำเร็จ อย่างไรก็ตาม สามารถรักษาให้หายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งต้องได้รับกำลังใจและความเข้าใจจากคนรอบข้าง รวมทั้ง ได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาหรือติดตามดูแลอย่างเหมาะสม สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ 80-90% การรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญที่สุด สามารถขอรับบริการปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ปัจจุบันประเทศไทยของเราได้มี พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ที่บัญญัติขึ้นเพื่อให้การคุ้มครองสังคมจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตและมีภาวะอันตราย ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองผู้ป่วยจิตเวช ให้ได้รับการบำบัดรักษาได้อย่างทั่วถึงและมีมาตรฐาน ตลอดจน คุ้มครองสิทธิในการเปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย รวมไปถึงการโฆษณาหรือการเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศใดๆ ที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย ซึ่งการฝ่าฝืน จะมีบทลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้ที่มีอาการทางจิตที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณะ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ./1669) เพื่อขอความช่วยเหลือในการนำส่งโรงพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกลัวความผิดจากญาติของผู้นั้นจะมาฟ้องร้อง อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยไบโพลาร์จะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในลักษณะที่แตกต่างกันคนละขั้ว โดยมีความผิดปกติในระยะพลุ่งพล่านฟุ้งเฟ้อหรือมาเนีย (Mania) สลับกับระยะซึมเศร้า (Depression) โดยใน ระยะพลุ่งพล่านฟุ้งเฟ้อ อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงง่าย มีความมั่นใจในตัวเองมาก ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่หลับไม่นอน ไม่คิดถึงกฎเกณฑ์ของสังคม หากถูกห้ามปรามหรือขัดขวางในสิ่งที่ต้องการ จะหงุดหงิดฉุนเฉียว ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจพบมีอาการหลงผิดแบบมีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นจนถึงมีภาวะหวาดระแวงได้ ส่วนในระยะซึมเศร้า จะรู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย จิตใจไม่สดชื่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร้องไห้ง่าย ไม่อยากพบใครหรือไม่อยากทำอะไร เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นั่งเฉยๆ นานเป็นชั่วโมง ใจลอย หลงๆ ลืมๆ ไม่มั่นใจ ตัดสินใจไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นภาระและหากมีอาการหนักจะถึงขั้นฆ่าตัวตาย โรคนี้มีสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ สาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ ปัจจัยทางชีวภาพ คือ ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยเสริม เช่น ประสบวิกฤตการณ์หรือมีเหตุการณ์พลิกผันของชีวิต หรือมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ได้แก่ การอดนอน การใช้สารเสพติด หรือยากระตุ้น การรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญที่สุด หากมีผลข้างเคียงจากยา ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง ในส่วนของญาติและคนใกล้ชิดควรร่วมเรียนรู้ เข้าอกเข้าใจ และให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยกินยา ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ สังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของผู้ป่วย รีบพาไปพบแพทย์ก่อนจะมีอาการมาก สำหรับวิธีป้องกัน คือ ควรปรับวงจรการกินการนอนให้ปกติและสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพ เช่น ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมคลายเครียด ไม่ใช้สารเสพติด เช่น สุรา ยากระตุ้น ตลอดจน หมั่นสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง เรียนรู้อาการเริ่มแรก และรีบพบแพทย์ก่อนจะมีอาการมาก รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ