กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเปิดเผยภาวะการลงทุนของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2544 อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตรขยายตัวถึงร้อยละ 50 อุตสาหกรรมเหมืองแร่เซรามิกส์และโลหะขั้นมูลฐานเริ่มฟื้นตัวตามภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ขณะที่กิจการสำนักงานสนับสนุนการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 30
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2544 (ม.ค.-มิ.ย.) ว่า การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตรหลายประเภทมีการผลิตดีขึ้นตามความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะการผลิตผลทางไก่แช่แข็งและอาหารทะเลแช่แข็งที่มีแนวโน้มว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยุโรปหันมาบริโภคอาหารประเภทอื่นแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีปัญหาการแพร่ระบาดของโรค ทำให้จำนวนผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตรช่วงครึ่งปีแรกนี้มีจำนวน 69 โครงการ มูลค่าการลงทุน 22,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 16,200 ล้านบาท
โดยผู้ผลิตไก่แช่แข็งรายใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งได้เสนอราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันมาหลายไตรมาสแล้ว อีกทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารของไทยและการผลิตอาหารไทยและการผลิตอาหารแปลรูปใหม่ๆ มีส่วนทำให้เกิดการขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการลงทุนในกิจการประเภทอาหารรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ การผลิตและถนอมอาหารจากข้าวและธัญพืช การผลิตผลไม้อบแห้งประเภทต่างๆ และการผลิตไวน์
นอกจากนี้ การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่เซรามิกส์และโลหะขั้นมูลฐานเริ่มดีขึ้นตามความต้องการที่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ และการผลิตกระจกโดยเฉพาะกระจกรถยนต์ก็มีการเติบโตดีขึ้นตามสภาวการณ์ส่งออกรถยนต์
สำหรับการลงทุนภาคอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค โดยเฉพาะการลงทุนตั้งกิจการสำนักงานสนับสนุนการค้าและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2543 ถึงร้อยละ 30
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในภาคอื่นๆ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์/คอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมสิ่งทอได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของประเทศไทยอย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอาเซียน และมีการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังประเทศจีน ซึ่งมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิตและการตลาดมากกว่า
สัดส่วนการลงทุนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น
นายจักรมณฑ์กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจและกลไกของระบบสถาบันการเงินที่ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้การลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ในปีนี้มีไม่มาก โดยช่วงครึ่งปีแรกนี้มีโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาทเปิดดำเนินการ 15 โครงการ หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2543 ร้อยละ 21 ในขณะที่โครงการขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท กลับมีจำนวนการลงทุน 66 โครงการ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับการลงทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีเพียง 48 โครงการ
โดยการลงทุนขนาดเล็กส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการซอฟท์แวร์ กิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และกิจกรรมสำนักงานสนับสนุนและการลงทุน ซึ่งกิจการเหล่านี้มีนักลงทุนจากต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นกิจการใหม่ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ (New Economy) และบริษัทจากต่างประเทศที่มีฐานการผลิตอยู่ในไทยก็จะใช้ไทยเป็นฐานในการกระจายการผลิตและการบริการในภูมิภาคแถบนี้ไปพร้อมกันด้วย
สรุปแนวโน้มปี 44 ยังมีหวัง
นายจักรมณฑ์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าแนวโน้มการลงทุนในปีนี้จะลดลงตามการชะลอตัวของการส่งออกและจากการที่ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ซึ่งส่งผลให้การลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเบา แต่ยังมีอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวด้านการตลาดเข้ามาช่วยสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลทางการเกษตร การผลิตชิ้นส่วนโลหะและชิ้นส่วนยานยนต์ กิจการซอฟท์แวร์/พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมบริการ
ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกในปี 2544 มีจำนวนโครงการยื่นขอรับส่งเสริมทุนทั้งสิ้น 406 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 77,300 ล้านบาท หรือลดลง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2543 ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ทำให้นักลงทุนจำนวนมากยื่นขอรับส่งเสริมก่อนที่นโยบายใหม่จะมีผลบังคับใช้ จึงทำให้สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้แตกต่างจากปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด--จบ--
-นห-