กรุงเทพฯ--19 ก.ย.--ทศท.
ขณะที่ ทศท. ปรับแผนจัดสรรให้รายละ 1 หมื่นเครื่อง แทนที่จะเป็น 2 หมื่นเครื่อง ตามที่วางไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนเอกชนตั้งท่าวิ่งเต้นเต็มที่ เพื่อใช้เงื่อนไขเดิม เหตุไม่ต้องการเสียงบปรับแผนงานอีกรอบ
แหล่งข่าวจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) กล่าวว่า ทศท.มีแผนให้สัมปทานโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรชิพการ์ด จำนวน 100,000 เครื่อง โดยขณะนี้ มีบริษัทเอกชนสนใจแล้ว 14 ราย (ดูตารางประกอบ)
นอกจากนี้ คณะทำงานได้ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ จากเดิมที่จะจัด 100,000 เลขหมาย ให้แก่ผู้ประกอบการจำนวน 5 ราย รายละ 2 หมื่น แต่หลังจากที่บริษัทเอกชนยื่นมาทั้งหมด 14 ราย ทศท.จะเปลี่ยนให้รายละ 10,000 เลขหมาย
เอกชนวิ่งเต้น
แหล่งข่าวกล่าวว่า แนวทางดังกล่าว คาดว่าจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทเอกชนบางรายที่จะเข้ามาดำเนินงานจากโครงการนี้ ได้กำหนดแผนการดำเนินงานไว้ที่โทรศัพท์จำนวน 20,000 เครื่อง หากมีการปรับเป็น 10,000 เครื่อง แผนงานต่างๆ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแผนใหม่
ดังนั้น บริษัทแน่นอนว่า เอกชนจะต้องวิ่งเต้นเข้าหาผู้บริหาร ทศท.เพื่อให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์เดิม เพราะไม่ต้องเสียงบปรับ และไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มด้วย
ทศท.ควรติดตั้งเอง
ทั้งนี้หากเกิดปัญหาวิ่งเต้นเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดการทุจริตตามมา ดังนั้น โครงการติดตั้งโทรศัพท์จำนวน 1 แสนเครื่องนี้ ทศท.ควรดำเนินการเอง เพราะอนาคตอันใกล้นี้ จะเปิดเสรี จึงควรมีธุรกิจหลักได้ดำเนินการ เพราะโครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรได้ เนื่องจากเป็นบริการที่มีรายได้สูงกว่าโทรพื้นบ้าน โดย 1 เครื่อง จะมีรายได้ต่อเดือน ราว 4,000-15,000 บาท ขณะที่โทรศัพท์พื้นฐานตามบ้านของ ทศท.จะมีรายได้เลขหมายละประมาณ 600-700 บาทต่อเดือน และหากโครงการดังกล่าวให้บริษัทเอกชนดำเนินการทั้งหมด รายได้บางส่วนของ ทศท.จะหายไป
นอกจากนี้ กรณีบริษัทเอกชน ได้เป็นผู้ติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะ จะเลือกติดตามแหล่งชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้าและจังหวัดที่อยู่หัวเมือง ในขณะที่พื้นที่ห่างไกล หรือชนบทไม่มีโทรศัพท์ใช้ ซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ของ ทศท. ที่ต้องการกระจายโทรศัพท์สาธารณะ ไปให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลใช้บริการ เพราะตามแหล่งชนบทเป็นเขตห่างไกล
เอไอเอสขอต่อสัมปทาน
ส่วนบริษัท แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด ผู้ให้บริการโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตร (การ์ดโฟน) ที่มีอายุสัญญาสัมปทาน 10 ปี ซึ่งสัญญาจะหมดในวันที่ 5 พ.ย.2543 นี้ ได้ขอต่ออายุสัมปทาน โดยใช้หลักการเดียวกัน และจะแบ่งรายได้ให้ ทศท. 50% จากการดำเนินงาน--จบ--
-สส-