วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ THE ISLAND

ข่าวทั่วไป Wednesday July 20, 2005 16:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส
ไมเคิล เบย์ (เรื่อง Armagedon และ Pearl Harbour) กำกับฯ ภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญ เรื่อง The Island แสดงนำโดย ยวน แมคเกรเกอร์ (ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars: Episodes I, II & III ภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge) และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน (ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation เรื่อง Girl With a Pearl Earring)
ลินคอล์น ซิกซ์-เอ็กโค (แมคเกรเกอร์) และ จอร์แดน ทู-เดลต้า (โจแฮนสัน) นั้นอยู่ในบรรดาผู้อยู่อาศัยหลายร้อยคนในที่จำกัดพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ทั้งสองก็เช่นเดียวกับผู้ร่วมชะตากรรมที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างระมัดระวัง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขาถูกเฝ้าสังเกตุ หากมองผิวเผินแล้วดูดีต่อพวกเขาเอง หนทาง — และความหวังเดียวที่พวกเขามีร่วมกัน — คือการได้รับเลือกให้ไป The Island — สถานที่สุดท้ายที่ยังบริสุทธิ์ในโลกจากภัยพิบัติทางระบบนิเวศที่มีรายงานว่าทำลายล้างทุกๆ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายบนโลก — ยกเว้นพวกเขา
เมื่อถูกรบกวนจากฝันร้ายที่อธิบายไม่ได้ ลินคอล์นหงุดหงิดและมีคำถามต่อสถานที่ที่โดนจำกัดในชีวิตเขาเพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ได้ตระเตรียมสำหรับความจริงเมื่อความอยากรู้อยากเห็นที่มากขึ้นของเขา ได้นำไปสู่การเปิดเผยที่น่ากลัวว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการมีชีวิตของเขาเป็นการหลอกลวง The Island คือการหลอกลวงที่แสนโหดร้าย ... และที่นั่นซึ่งเขา จอร์แดนและทุกๆคนรู้จัก ที่จริงแล้วพวกเขามีประโยชน์เมื่อตายไปแล้วมากกว่าการมีชีวิต เมื่อเวลาใกล้จะหมดลง ลินคอล์นและจอร์แดนได้หลบหนีอย่างกล้าหาญสู่โลกภายนอกที่พวกเขาไม่เคยรู้จักเลย ก่อนที่พวกเขาออกมาอยู่ภายนอกและออกมาจากสายตาที่สอดส่องของสถาบัน ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนอันบริสุทธิ์ที่พวกเขามีให้กันเริ่มแน่นแฟ้นไปสู่บางอย่างมากขึ้น แต่ด้วยกองกำลังของศูนย์อำนวยการ ที่ตามล่าพวกเขาอย่างไม่ละเว้น ลินคอล์นและจอร์แดนมีภาระกิจที่สำคัญ การมีชีวิตอยู่
บรรดานักแสดงหลักผู้ร่วมทีมในเรื่อง The Island คือ ดจิม่อน ฮาวน์ซู ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง (เรื่อง In America) รับบทเป็น ลอเรนท์ ผู้นำของหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ตามล่าลินคอล์นและจอร์แดน; ฌอน บีน รับบทเป็น เมอร์ริค เป็นหัวหน้าของสถาบัน; สตีฟ บัสเซมี่ รับบทเป็น แมคคอร์ด ชายที่คบเป็นเพื่อนกับลินคอล์นทำงานอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดให้กับสถาบัน; และผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออส์การ์ ไมเคิล คลาร์ค ดันแคน (เรื่อง Green Mile) รับบทเป็น สตาร์คเวตเทอร์ หนึ่งในผู้อยู่อาศัยที่ได้พบกับความยินดีและเป็นที่อิจฉาเมื่อเขาได้รับเลือกให้ไปที่ The Island
ไมเคิล เบย์ กำกับการแสดงเรื่อง The Island จากบทภาพยนตร์ของ แคสเปียน เทรดเวลล์-โอเว่น และ อเล็กซ์ เคิร์ซแมน & โรเบอร์โต ออร์ชี่ เค้าโครงเรื่องโดย เทรดเวลล์-โอเวน วอลเตอร์ เอฟ พาร์คส ,ไมเคิล เบย์และ เอียน ไบรซ์ อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ร่วมกับ ลอรี่ แมคโดนัล รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหาร ภาพยนตร์เรื่อง The Island เป็นการร่วมกันสร้างของ วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส และ ดรีมเวิร์ค พิคเจอร์ส ซึ่ง วอร์เนอร์ส บราเดอร์ส เป็นผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศ และบริษัท ดรีมเวิร์ค ได้รับสิทธ์จัดจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา
เกี่ยวกับทีมงานสร้าง
การรวมตัวของเกาะ - การสร้าง ISLAND
เมื่อตอนที่ผู้สร้างภาพยนตร์ได้เริ่มดำเนินการแรกๆใน “The Island” พวกเขาอาจจะคิดว่าพวกเขากำลังสร้างสรรค์นวนิยายทางวิทยาศาสตร์โลกอนาคตเกี่ยวกับการโคลนนิ่งมนุษย์ที่มีขอบเขตของเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การติดตามในข่าวที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการสร้าง วอล์เตอร์ เอฟ พาร์คส ยอมรับกึ่งๆตลกเท่านั้นว่า “มันกลายเป็นว่าเรากำลังสร้างหนังแนวตื่นเต้นร่วมสมัย”
ที่จริงแล้ว ความจริงก็คือการไล่จับนั้นเริ่มได้รับความเข้าใจว่าอะไรที่ครั้งหนึ่งที่ไม่เคยมีในจินตนาการได้เกิดขึ้นมาจากปลายศตวรรษที่ 21 ซึ่ง แคสเปียน เทรดเวลล์-โอเว่น ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ได้เตรียมไว้แต่แรกในเรื่องของเขา ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับการแสดง/ผู้อำนวยการสร้าง เล่าว่า “เราต้องการนำเสนอมันไปอีก 20 ปีของโลกอนาคต มันเป็นสมมติฐานที่น่าตกใจมาก ถ้ามันอยู่ใกล้ ๆ ตัวแค่หักมุมเลี้ยวนี้เอง และทำให้เกิดการเข้าถึงมันได้มากกว่า”
ปาร์คส กล่าวเสริมว่า “พวกเราอยู่ในยุคสมัยที่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กำลังปรากฏในภาวะที่รวดเร็วของมิติ มันเป็นความก้าวหน้าทางเรขาคณิต ดังนั้นเมื่อเราเข้าไปสู่อนาคต มันจะทำให้ความน่าทึ่งของเรื่องลดน้อยลงไป ในการพัฒนาที่พวกเราได้เคยได้ยินและได้อ่านเกี่ยวกับข่าวต่าง ๆ มันจะนึกภาพได้ออกจริงๆ ที่ว่าเรื่องอย่างนี่จะสามารถเกิดขึ้นใน 15 หรือ 20 ปี หรือกว่านั้น พวกเราจะไม่พูดว่ามันจะต้องเกิดถึงระดับนี้...แต่มันเป็นไปได้ทางเทคนิค”
แคสเปียน เทรดเวลล์-โอเว่น ยืนยัน “การโคลนนิ่งมนุษย์นั้นจะต้องเกิดขึ้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องมีใครสักคนที่ทำมัน — ถูกกฏหมาย หรือไม่ถูกกฏหมาย — มันเป็นเพียงคำถามว่าใครจะทำมันก่อน วิทยาศาสตร์ถูกกระตุ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ บรรลุถึงขอบเขตที่แน่นอน มันยังได้รับการกระตุ้นด้วยความต้องการและความต้องการก็อยู่ตรงนั่น เราสามารถปลูกถ่ายอวัยวะเล็กๆและชิ้นส่วนภายนอกของร่างกายของมนุษย์ได้แล้ว แต่จะเกิดอะไรถ้าเราสามารถลอกเลียนแบบ ที่เหมือนกันอย่างไม่มีที่ติ ใครจะมาให้อวัยวะหรือส่วนต่างๆของร่างกายเขากับคุณโดยไม่ปรากฏร่องรอยของความยุ่งยาก?
เมื่อต้นฉบับบทภาพยนตร์เรื่อง “The Island”ได้รับความสนใจจาก วอลเตอร์ เอฟ พาร์คส ผู้อำนวยการสร้าง และลอรี่ แมคโดนัล ผู้อำนวยการบริหาร พวกเขากำลังพยายามที่จะพัฒนาเรื่องที่แตกต่างอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการทำโคลนนิ่งมนุษย์ พาร์คส เสนอว่า “สิ่งที่ทำให้พวกเราสนใจบทภาพยนตร์เรื่องนี้ในทันทีก็คือ แทนที่จะนำเอาส่วนที่เป็นความคิดของนักวิจัยหรือ ผู้สังเกตุการณ์จากภายนอก เรื่อง The Island นั้นได้นำเอาความคิดที่เกิดจากมนุษย์ที่ถูกโคลนขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง มันทำให้เราสนใจว่าเรื่องที่สำคัญในการบอกเล่าเรื่องในทางที่เป็นไปในทางความรู้สึกและในส่วนของบุคคล เพราะในระดับหนึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เกิดความสงสัยแต่มันเป็นเรื่องที่มองโลกโดยผ่านทางสายตาของผู้ไม่มีความผิด”
“พวกเรารู้สึกอย่างรุนแรงว่าการบอกเล่านั้นควรจะผ่านทางสายตาของตัวแสดงเอกของเรื่อง คือ ลินคอล์น เพราะผู้ชมนั้นจะติดตามตัวเขาอย่างใกล้ชิด” ผู้เขียนบทภาพยนตร์คือ อเล็กซ์ เคริทซ์แมนกล่าว “ผ่านทางลินคอล์น พวกเขาจะได้รู้ตั้งแต่เริ่มต้นในเรื่องว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลและผู้ชมในทุกวันนี้นั้นจะมีความเข้าใจได้เร็วมาก เพราะฉะนั้นพวกเขาจะกระโดดเข้าไปสู่การสรุปเรื่องที่ออกมาในทางร้าย แต่จะพูดได้ว่า การบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นของลินคอล์นนั้นน่าตกใจ”
หุ้นส่วนของเขา โรเบอร์โต ออร์กี้ซึ่งเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เห็นด้วย “ในการมองผ่านสายตาของเขานั้นเป็นเหตุผลที่ออกมาเป็นเรื่องที่ทำให้ช็อค ถึงแม้คุณจะคิดว่าคุณรู้อยู่แล้ว ในส่วนครึ่งชั่วโมงแรกของหนังหรือกว่านั้นจะเป็นการบอกกล่าวถึงความเป็นจริงอื่น ๆ และคุณอาจจะหวังว่ามันจะดำเนินต่อไปในทางเส้นตรงและคิดเอาว่าคุณจะรู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหน แต่คุณกลับไม่รู้ นั่นแหละคือความเป็นแคสเปียนทั้งหมดและมันเป็นสิ่งที่ฉลาดมากเพราะจะทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการค้นพบครั้งนี้”
บทภาพยนตร์ดั้งเดิมในตอนแรกนั้นได้มาผ่านมาถึง ไมเคิล เบย์ โดยทางตรงคือผ่านทาง ผู้อำนวยการของบริษัท ดรีมเวิร์คส คือ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เบย์เล่าว่า “สตีเว่นโทรหาผมคืนหนึ่งและพูดว่า ผมจะส่งบทหนังให้คุณเรื่องหนึ่งและคุณต้องอ่านให้ได้ในคืนนี้ ผมยังไม่ได้รับมันจนกระทั่ง ห้าทุ่มและมันเป็นบทที่มีความหนาถึง 140 หน้า แต่ผมนั่งลงและอ่านมันจนจบโดยไม่ลุกไปไหนเลยจนถึงตีสาม ผมชอบมันมากและโทรหาเขาในตอนเช้าเพื่อจะบอกเขาว่า ผมจะทำมัน”
พาร์คสเล่าว่ามันมีหลายเหตุผลที่ มีเพียงไมเคิล เบย์ เท่านั้นที่เป็นผู้กำกับการแสดงคนเดียวที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำทีมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Island “เขามีความมุ่งมั่น มีการผลักดัน การสร้างสรรค์ ความมั่นใจในตัวเองและมีความชำนาญทางด้านเทคนิคในการคุมการสร้างที่ยิ่งใหญ่ในขนาดนี้ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่ในความท้าทายของการสร้าง — สถานที่ถ่ายทำหลายที่ ตัวแสดงประกอบมากมาย ฉากหลายต่อหลายฉาก เทคนิคดิจิตัลเอ็ฟเฟ็ค เอ็ฟเฟ็คทางกายภาพ ...เกือบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ผู้กำกับการแสดงนับรายได้ที่จะมีความสามารถเพียงพอในการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้โดยไม่ถูกสิ่งพวกนี้ฝัง ผมหมายถึงว่ามันมีหลายคนที่เข้าใจเทคนิคดิจิตัล เอฟเฟ๊ค หรือรู้ว่าจะทำฉากไล่ล่าได้อย่างไร แต่สิ่งที่ท้าทายนั้นมันสูงจากการที่พวกเขาต้องเข้าไปในทางที่เปี่ยมไปด้วยพลังอย่างแท้จริงในฉากต่าง ๆ กัน ไมเคิลมีความสามารถในการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด — เขาจะค่อย ๆ รู้งานของทุก ๆ คนที่อยู่ในฉาก — และเขาจะค่อย ๆ เติมเต็มพลังบางอย่างจากเก้าอี้ผู้กำกับการแสดง ...ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้นั่งลงหรอกนะ” ปาร์คสเล่า “ในหลาย ๆ อย่างเขาเหมือนกับเด็กในความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความซุกซนเป็นอย่างมาก มันเป็นการสร้างสีสรรค์และนำความมีชีวิตชีวาและความตื่นเต้นมาให้กับทีมงานในฉาก ซึ่งผมคิดว่ามันได้ถ่ายทอดมาในภาพยนตร์ มันเป็นสิ่งที่ติดต่อกันอย่างมากจริง ๆ”
“ผมคิดว่าไมเคิลนั้นเป็นผู้กำกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก” ผู้อำนวยการสร้างเอียน ไบร์ซ
กล่าว “เขาเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ด้วยสายตาที่แหลมคม; เขารู้ว่ากล้องจะถ่ายอย่างไร และเขาถ่ายทำได้เร็วมาก ในหลาย ๆ อย่าง เขาเป็นคนที่อยู่ในความฝันของผู้อำนวยการสร้างเพราะเขามาและเตรียมตัวรวมทั้งมีพร้อมที่จะทำงานเขาสามารถทำงานมากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน สำหรับผมแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดมากที่ได้ทำงานร่วมกับเขา”
เมื่อเขาได้เข้ามาร่วมทีมภาพยนตร์เรื่อง The Island นั้น เบย์รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องให้ความสมดุลกับการมองในสองแง่มุมที่แตกต่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมมีความตั้งใจที่จะทำหนังที่มีความสนุกสนานสำหรับในช่วงซัมเมอร์แต่มันยังมีเรื่องราวหลักของความเป็นมนุษย์ในเรื่องที่ต้องจัดการกับคำถามต่าง ๆ อย่างเช่นเราจะมีมนุษย์โคลน หรือไม่มี? แน่นอนว่าพวกเราไม่มีความตั้งใจจะตีแสกหน้าผู้ชม แต่ผมอยากจะให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงรสชาดของคำถามในแง่ของศีลธรรม ...และนำกลับมาคิด”
พลเมืองของ The Island
การรวมตัวกันของ ภาพยนตร์ตื่นเต้น แอ็คชั่น ระทึกใจและความผสมผสานความเป็นดร่าม่าที่เป็นปัญหาทางด้านจิตใจที่เป็นที่กล่าวขวัญกันในข่าวประจำวันนั้นเป็นบางส่วนในภาพยนตร์ก่อให้เกิดความสนใจกับ ยวน แมคเกรเกอร์ และทำให้เขาตกลงใจรับบท ลินคอร์น ซิกส์-เอ็กโค่ ในภาพยนตร์เรื่อง The Island “ผมชอบมองหาบางอย่างที่แตกต่างอยู่เสมอและนี่เป็นหนังอเมริกันฟอร์มยักษ์ แต่ด้วยบางสิ่งที่เป็นจุดใหญ่ใจความของมัน ซึ่งก็มันก็ไม่เป็นอย่างนี้เสมอไป” แมคเกรเกอร์กล่าว “ผมคิดว่า การค้นหาเรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์นั้นมันเป็นที่สุดและเป็นเรื่องที่น่าสนใจและท่ามกลางหนังที่เป็นแนวแอคชั่นเต็มรูปแบบนั้นมันเป็นบทบาทที่ผมไม่เคยได้แสดงมาก่อนเลย”
แมคเกรเกอร์กล่าวต่อ “ผมแสดงเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า ลินคอร์นเขามีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีแต่แบบแผน ที่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้รับการเลือกให้พวกเขา — เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ ทุกอย่างที่พวกเขากิน ที่ทำงานของพวกเขา ... ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้รับการควบคุมโดยใครคนหนึ่ง พวกเขาได้รับการบอกว่าโลกภายนอกนั้นแปดเปื้อน เว้นแต่ที่หนึ่งที่เดียวที่สวยงามดั่งสวรรค์ นั่นคือ The Island จะมีการจับรางวัลเป็นระยะ ๆ และถ้าใครโชคดีพวกเขาจะได้รับเลือกให้ไปที่ The Island ซึ่งงานหลักของพวกเขาคืองานที่เพิ่มประชากรให้กับโลก ซึ่งเป็นงานที่น่าพิศมัยถ้าเป็นผู้ได้รับลือก” เขายิ้ม “พวกเขามีความเชื่อว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่อจะได้ไปที่ The Island และในขณะที่ทุกคนดูเหมือนจะพอใจกับสิ่งนี้ บทบาทการแสดงของผมจะเป็นพวกที่ขวางโลกอยู่สักหน่อยและเริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมทุกสิ่งต้องเป็นไปในแบบนี้ และใครเป็นคนกำหนดมัน?”
ปาร์คส เล่าว่า โดยที่ลินคอร์นนั้นไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ชื่อ ลินคอร์น ซิกซ์-เอ็กโค่ซึ่งเป็นเต็มของเขานั้นแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นรุ่นที่ห้า หรือลำดับของรุ่น มนุษย์โคลน; และในอุตสาหกรรมเป็นบางส่วนในความคืบหน้าที่ไร้จุดจบ และอย่างไร้ความคิดได้ทำให้รุ่นของเขานั้นอาจกลับกลายไปเป็นรุ่นที่มีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง “ลินคอร์นและคนอื่นที่คล้ายกับเขาได้รับการยกย่อง — หรืออาจจะเป็นคำสาป — ด้วยความรู้สึกอันตรายที่เกิดขึ้นกับโลกมนุษย์คือ: ความอยากรู้อยากเห็น และต่อมาเขาก็ต้องกลายมาเป็นวงล้อที่หมุนเสียงดัง”
“พวกเขาเป็น รุ่นหนึ่งของมนุษย์โคลนที่แตกต่าง และรุ่นเอคโค่ซึ่งเป็นรุ่นของเขานั้นได้รับการทำขึ้นมาดีจนเกินไป” เบย์ อธิบาย “มันยังมียีนส์ของ ดีเอ็นเอ ตกค้างอยู่ในความทรงจำของเขาและเขาก็เริ่มที่จะเกิดความฝันซ้ำแล้วซ้ำอีกซึ่งทำให้เขาหยุดมันไม่ได้ ลินคอร์นหวังว่ามันจะมีอะไรมากขึ้นไปอีก; เพียงแต่เขาไม่รู้ได้ว่ามันจะคืออะไร ยวนเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์และในตัวเขายังมีความไร้เดียงสา มันเป็นบุคลิกของเด็กผู้ชายที่ทำให้เขามีความเหมาะสมกับบทบาทนี้”
ความอยากรู้อยากเห็นของลินคอร์นนั้นได้กลายเป็นความสงสัยเมื่อเขาได้พบคำตอบของการมีชีวิตอยู่ว่าทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่เห็น เขาได้เริ่มค้นหาความจริงที่โยงใยไปถึงความเป็นจริงที่แสนจะเลวร้ายเกินกว่าที่เขาจะคิดถึง แมคเกรเกอร์เล่า “ลินคอร์นค้นพบว่า มันเป็นการโกหกคำโต พวกที่ชนะรางวัลและถูกเลือกไม่ได้ไปที่ The Island ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ ไม่เคยมีอยู่ เมื่อจอร์แดนเพื่อนของเขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ที่ได้ไปที่ The Island ลินคอร์นก็รู้ว่าเขาต้องช่วยเหลือเธอออกมาให้ได้”
จอร์แดนนั้น คือ จอร์แดน ทู-เดลต้า ซึ่งเป็นผู้ร่วมอาศัยอยู่ในโลก Facility ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกับลินคอร์น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีลักษณะของความช่างสงสัยอย่างที่ลินคอร์นเป็น การ์เล็ตต โจแฮนสัน ซึ่งรับบทเป็นจอร์แดนให้ข้อสังเกตุ “จอร์แดนเป็นคนน่ารักและไร้เดียงสา เธอไม่รู้อะไรเลยนอกจากสถานที่ ๆ เธออาศัยอยู่ นอกจากว่าโลกภายนอกจากโลกนั้นมันมีแต่ความแปดเปื้อน”
เบย์กล่าว “จอร์แดนไม่รู้สึกอะไรกับชีวิตที่โดนจำกัดของเธอ เธอเชื่อว่ามี เกาะแห่งหนึ่ง แต่เธอมีพันธะอยู่กับลินคอร์นที่ทำให้เธอตัดสินใจเดินทางไปกับเขาเมื่อเขาบอกกับเธอว่า เกาะมันไม่มีจริง คุณต้องเชื่อผม”
โจแฮนสันกล่าว “จอร์แดน ตกใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่บอกให้เธอมากับเขา เธอก็ทำ เธอไว้ใจเขามากกว่าเพื่อน พวกเขาปิ๊งกัน — พวกเขาหลงรักกันและกัน มันไม่ใช่แค่ทางร่างกาย; มันเป็นเหมือนการผูกพันแบบบุพเพสันนิวาส พวกเขาค่อนข้างไร้เดียงสา เพราะพวกเขานั้นเคยแต่ดำรงชีวิตอยู่ในลูกกลมพสาสติค โดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย มันเป็นเรื่องความรักที่ยอดเยี่ยมในทางที่มันแสดงให้เห็นได้ โดยผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานา ผู้คนที่สมควรจะรวมตัวกันก็จะได้รวมตัวกัน”
โจแฮนสันเล่าต่อว่าการพัฒนาของความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการแสดงของเธอกับลินคอร์นนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอร่วมงานกับทีมภาพยนตร์เรื่อง The Island “ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังประเภทนวนิยายและเมื่อฉันได้อ่านบท ฉันก็ตื่นเต้นและอยากรู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ฉันแค่อยากได้ร่วมงานกับยวนและไมเคิลด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันลงตัวและทำให้ฉันอยากร่วมกับทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้”
เบย์ให้ข้อสังเกตุว่าการเลือก สการ์เล็ตต์ให้แสดงคู่กับ ยวนนั้นส่วนใหญ่มาจากความรู้สึก “เมื่อเราได้ ยวนมาร่วมงาน พวกเราก็รู้ว่าเราต้องหาใครสักคนที่ไม่ใช่แค่เป็นนักแสดงที่มีความสามารถเท่านั้น และต้องคู่กับเขาได้ด้วย ผมไม่เคยได้เจอกับ สการ์เล็ตต์มาก่อนแต่ผมรู้ว่าเธอเป็นนักแสดงที่มีความสามารถคนหนึ่ง บางทีเราก็ต้องลองเสี่ยงเวลาที่คุณจะหาใครสักคนที่เป็นคู่และดูดีในจอภาพยนตร์แต่ ในที่สุดแล้วยวนและสการ์เล็ตต์นั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี”
เมื่อตอนที่เราได้พบกับลินคอร์น จอร์แดนและ ผู้ร่วมอาศัย พวกเขากำลังดูข้อความที่ได้เก็บเอาไว้จากคนที่เคยอยู่มาก่อนชื่อว่า สตาร์คเวตเธอร์ ซึ่งได้รับการเลือกให้ไปที่ The Island ต่อมา มันคือสิ่งที่ทำให้เขาได้เห็นชะตากรรมของ สตาร์คเวตเธอร์ที่ทำให้ลินคอร์นตาสว่างและเห็นความเป็นจริงเบื้องหลังการโกหกหลอกลวง บทบาทของสตาร์คเวตเธอร์นั้นแสดงโดย ไมเคิล คลาร์ค ดันแคน ซึ่งกล่าวว่า “บทของผมเป็นการเปิดให้ทุกสิ่งมีการเคลื่อนไหว ในหนึ่งนาทีที่คุณพูดว่า ผมจะเจอคุณที่ The Island และเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาบนอีกโต๊ะผ่าตัด เขาลุกขึ้นนั่งและเริ่มวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด เขากลัวแทบตายและเริ่มคิดว่า นี่ตัวเขาอยู่ที่ไหนกัน? เมื่อคุณบอกผมว่าผมจะได้ไปที่ The Island นี่มันเป็นไปไม่ได้ ”
ดันแคนนั้นได้ทำงานกับทีมงาน The Island เพียงสองวัน แต่ไมเคิล เบย์ซึ่งเคยได้กำกับการแสดงเขาจากภาพยนตร์เรื่อง Armageddon นั้น ทำให้เขาแน่ใจได้ว่ามันเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืม “ไมค์จะบอกกับผมว่าเขาจะทรมานผม 2 วัน” เบย์ หัวเราะ “ผมทำให้เขาวิ่ง ทำให้เขาร้องไห้ ผมทำให้เขาโดนมัดอยู่กับโต๊ะซักแปดชั่วโมงได้ จนเขาพูดกับผมว่า คุณจะเทคอีกไหม และผมก็จะพูดว่า เอาน่าไมค์ ให้ผมอีกห้าเทคเถอะ ผมชอบทำให้เขาวุ่นวายจริง ๆ”
“ไมเคิล เบย์ นั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ” ดันแคนเล่า “เวลาไม่กี่วันที่ผมทำงานกับเขา เขาจะคิดถึงอะไรใหม่ ๆ ที่จะทำกับผม เขาทำความลำบากให้กับผมจริง ๆ และอันที่จริงผมคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมในช่วงเวลานี้”
ผู้ที่อาศัย อยู่ในเขตที่ปลอดเชื้อและเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งนี้ไม่มีทางได้รู้เลยว่าพวกเขาอาศัยอยู่ภายใต้โลกภายนอกที่ไร้ความแปดเปื้อน ... หรือว่าเหนือจากที่อยู่ของพวกเขานั้นคือตึกที่มีชื่อว่า เมอร์ริค ไบโอเทค ผู้ที่อยู่ที่นั่นรู้แต่เพียงว่า ชื่อ เมอร์ริค นั้นคือชายคนหนึ่งที่มีความเมตตา อยากรู้อยากเห็นและดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของพวกเขา
อันที่จริงแล้วนั้น ความสนใจของเมอร์ริค นั้นมีเพียงแค่ในตัวผู้อาศัย หรือ “แอ็คเนตส์” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกพวกเขา นั่นคือพยายามปกป้องการลงทุนที่มีค่าจนกระทั่งถึงเวลาของพวกเขา เขาเห็นว่าโลกภายนอกนั้นไม่ได้มีความระแวดระวังเกี่ยวกับพวก แอ็คเนตส์ - หรืออย่างน้อยว่าเป็นผู้ตื่นและระแวดระวัง — โดยที่ พวกแอ๊คเนตส์นั้นทุกคนมีความเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
การคัดสรรตัวแสดงที่มารับบท เมอร์ริคนั้น ชอน บีน ให้คำอธิบายว่า “เมอร์ริคหลอกลวงลูกค้า ของ เมอร์ริค ไบโฮเทคว่าเป็นแหล่งของอวัยวะโคลน ซึ่งเป็นการหลอกลวงใน การปลูกถ่ายคัดเลือกสายพันธุ์ซึ่งเป็นกฏหมายที่ตั้งขึ้นในปี 2015 เพื่อคุ้มครองการโคลนนิ่งมนุษย์ แต่เมอร์ริคได้เรียนรู้ว่าการเก็บอวัยวะต่าง ๆ เอาไว้นั้นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น พวก แอ๊คเนสต์จึงเป็นพวกที่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา และนี่เองที่เป็นการผิดต่อกฎหมายเป็นอย่างมาก”
โดยไม่สนใจต่อสิ่งนี้ ปาร์คสกล่าว “เมอร์ริคนั้นฉลาดหลักแหลม และมีความเชื่อว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับผู้ร้ายที่ดีที่สุด เขาไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ว่ามีความเชื่อถือในทางที่ผิด ในด้านจิตใจของเขาแล้ว เขาคิดว่าเขากำลังทำให้มนุษยชาตินั้นพัฒนาขึ้นโดยใช้วิทยาศาตร์ทำให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด”
บีนนั้นเห็นด้วยว่า การเคลื่อนไหวของเมอร์ริค ถึงแม้ว่าจะมีคำถาม มันไม่ถูกต้องทั้งหมด “เขาเป็นผู้บุกเบิก ในสาขานี้ และเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการทำความดีงามให้กับผู้คน ผมคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ใช้ได้ ถึงแม้ว่าบรรยากาศในคลินิคของเขาจะเย็นเยียบและเต็มไปด้วยผลประโยชน์ ผมคิดว่าบุคลิกภาพของเขาน่าสนใจทีเดียว”
“ชอน บีนนั้น ยอดเยี่ยมมาก แต่เขามีหลายอย่างที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวเขา” เบย์ให้ความเห็น “เขาแสดงเป็น เมอร์ริค ที่โดนขัดเกลา แต่ไม่ใช่เลวร้าย มันเป็นการแสดงออกของเขาที่ทำให้คุณเห็นว่า เมอร์ริคเป็นคนที่เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว”
มีเพียงคนเดียวที่สถาบันที่ ลินคอร์นเชื่อใจได้อย่างจริงจังคือพนักงานที่มีชื่อว่า แม๊คคอร์ด ซึ่งเป็นเพื่อนกับ ลินคอร์นและเป็นบางครั้งบางคราวยังแอบเอาของบางอย่างเช่น เหล้า ไปให้เขา “แม๊คคอร์ดนั้นเป็นหนึ่งในผู้คนที่อยู่รายล้อมเขาและทำความผิดที่ เป็นเพื่อนกับผลผลิต เขารู้สึกผิดกับสิ่งทำกำลังเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมนี้ เขารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ต้องทำงานของเขาเพราะมันเป็นงานเดียวที่มีอยู่” เบย์เล่า
ตั้งแต่เริ่มต้น ไมเคิล เบย์มีเพียงคนเดียวที่คิดเอาไว้ที่จะให้รับบทของ แม๊คคอร์ด: สตีฟ บูสเซมี่ ซึ่งเขาได้เคยร่วมงานกันมาจากภาพยนตร์เรื่อง Armageddon “สตีฟ คือคนนั้น” เบย์เล่า “เขาเป็นส่วนหนึ่ง; มันคือความเป็นเขาเอาจริง ๆ เขาทำความสนุกสนานให้กับตัวแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะเขามีหลายอย่างที่ต้องหาทางออก แต่ สตีฟเป็นชายหนุ่มที่เป็นคนแบบว่ามีความสนุกสนานกับทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”
บูสเซมี่เสนอ “มันสนุกมากที่ได้ทำงานกับ ไมเคิล เพราะเขาจะโถมทุกอย่างมาในนาทีสุดท้าย หรือถามผมให้คิดอะไรออกมาในทันที พวกเราจะทำตามบท แต่ตัวเขาจะไม่กลัวเลยที่จะพยายามหาอะไรใหม่ ๆ หรือแตกต่างออกไป เพราะงั้นคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อลินคอร์นและจอร์แดนนั้นตัดสินใจที่จะหลบหนี ลินคอร์นรู้ดีว่าเขามีเพียงที่เดียวที่จะพึ่งได้และเข้าพบ แม๊คคอร์ด บูสเซมี่เล่า “เขากระหายใคร่รู้คำตอบ เขาจึงตามหาแม๊คคอร์ด แต่ตัวของแม๊คคอร์ดรู้ว่ามันเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากที่พวกเขาอยู่นอกโลกของความเป็นจริงเพราะไม่มีใครเลยที่ข้างนอกนี้ที่สมควรจะรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ และมันจะมีความหมายว่าแม๊คคอร์ดจะต้องตายถ้าพวกเขาทั้งหมดถูกจับได้ มันเป็นปัญหาที่หนักมากแต่ในอีกทางหนึ่งคือเขาช่วยไม่ได้ สำหรับตัวแม๊คคอร์ดแล้วพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะมันขัดต่อความผิดถูกในตัวเขา แม๊คคอร์ดจึงตัดสินใจช่วยพวกเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเสี่ยงกับชีวิตตัวเองก็เถอะ”
แม๊คคอร์ดนั้นถูกต้องในบทสรุปที่ว่า พวก แอ๊คเนตส์นั้นจะต้องถูกตามล่าและใครที่เข้ามาขวางทางนั้นจะได้รับอันตราย อย่างไรก็ตามเมอร์ริค ไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งที่จะช่วยในความหวาดกลัวในการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย เขากลับเปลี่ยนรายชื่อที่มอบหมายให้กับพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยให้มุ่งไปที่ อัลเบิร์ต ลอร์เรนท์ ซึ่งแสดงโดย จิม่อน ฮาวน์ซู “ผมต้องการให้พวกที่เลวร้ายไปไล่ล่าพวกนั้น” เบย์อธิบาย “ผ่านทางหนังของผม ผมจะทำงานกับพวกนาวิกโยธินและบรรดาเหล่ากองกำลังพิเศษ บางกลุ่มนั้นได้เป็นคนทำงานอิสระ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าและจะเล่นอะไรที่พวกเขาจะเรียกว่า กฎของพวกบิ๊กบอย นั่นแหละเป็นสิ่งที่ผมต้องทำกับลอร์เรนท์และทีมงานของเขา”
ฮาวน์ซู ให้ข้อสังเกตุ “ลอร์เรนท์เป็นกองกำลังพิเศษชาวฝรั่งเศสและตอนนี้เขาค่อนข้าง เป็นพวกทหารรับจ้าง สำหรับเขาแล้วมันเป็นแค่ธุรกิจและเขาก็รู้สึกสบายกับงานที่เขาต้องทำ งานของเขาก็คือต้องจับพวก แอ๊คเนตส์หรือลบล้างพวกเขาออกไปเพราะนั่นหมายความถึงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกค้นพบนั้นมันเกินความจินตนาการได้” โชคไม่เข้าข้าง เมอร์ริคลืมที่จะเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับสองคนที่หลบหนีและพวกเขาทำอะไรได้บ้าง เมื่อพวกเขาได้รู้ความจริง ลอร์เรนท์เริ่มรู้สึกถึงความขัดแย้งเกี่ยวกับมันเพราะเขาเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ที่นี่”
ผู้อำนวยการสร้าง วอล์เตอร์ ปาร์คสและ ลอว์รี่ แม๊คโดนัลนั้นมีประวัติอันยาวนานกับฮาวน์ซู ซึ่งเริ่มต้นจากบทบาทนำครั้งแรกของเขาจากภาพยนตร์เรื่อง Amistad และเรื่องต่อมาคือเรื่อง Gadiator ปาร์คสกล่าวว่า “ในการที่ได้เห็นนักแสดงที่มีความเป็นพิเศษมีการพัฒนาในสายตาของเรานั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะเขามีร่างกายที่ดูดีและเขายังแสดงเป็นผู้ร้าย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันกับความที่เป็นตัวเขาในปัจจุบัน จิม่อนเป็นหนึ่งในคนที่สุภาพที่สุดในโลกนี้ ในความเป็นจริงที่ว่ามันมีความขัดแย้งระหว่างความกระด้างของตัวแสดงและความเป็นคนอ่อนไหวในคน ๆ หนึ่งนั้นทำให้ความเป็นลอว์เรนท์นั้นมีความน่าสนใจเมื่อออกมาในจอภาพยนตร์
ฮาวน์ซูและนักแสดงอื่น ๆ ที่เล่นเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของลอว์เรนท์นั้นได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยพิเศษ Ops ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคคือ แฮร์รี่ ฮัมฟรีส์ ซึ่งเป็นนาวิกโยธินเก่าและหน่วยรบพิเศษซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับความชำนาญของเขาในภาพยนตร์หลายเรื่อง ร่วมถึงเรื่อง ที่ไมเคิล เบย์นั้นกำกับการแสดง เรื่อง Pearl Harbor เรื่อง Armageddon และเรื่อง The Rock โดยการร่วมกับนักแสดงมืออาชีพซึ่งในปัจจุบันและเคยเป็นสมาชิกของกองกำลังทางทหารและเอเย่นทางกฏหมายซึ่งได้เพิ่มเติมความเที่ยงแท้ให้กับกองกำลังรักษาความปลอดภัย
การกระโดดจาก เกาะ
The Island นั้นอยู่ระหว่างสองโลกที่แตกต่างกัน — โลกหนึ่งเคร่งครัด มีเพียงสีเทา ซึ่งเป็นโลกของผลผลิตที่มีผู้อยู่อาศัยของสถาบันอาศัยอยู่พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก ตั้งชื่อว่า เซ็นเตอร์วิลล์ โดยทีมงานสร้างและโลกที่มีสีสรรค์ เกินคาดเดาที่อยู่เบื้องบน ทุกขั้นตอนของการสร้างนั้นได้รับการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึง ที่อยู่สองแห่งที่มีความแตกต่างกัน
(ยังมีต่อ)

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ