ครั้งแรกของ 2 ซูเปอร์สตาร์มือรางวัล “อนันดา VS. น้อย กฤษดา” จากอินเนอร์ที่ลึกที่สุดสู่การเผชิญหน้าและท้าทายทางด้านการแสดงและแอคชั่นสุดชีวิต

ข่าวบันเทิง Thursday June 16, 2016 14:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม เมื่อมือปราบปะทะมหาโจร คงกระพัน แกร่งกล้า เหนืออาคมต่ออาคม วัดกันด้วยพลังศรัทธา การวางตัว 2 นักแสดงซูเปอร์สตาร์ชายมือรางวัลระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "แฮปปี้เบิร์ดเดย์" และ "ชั่วฟ้าดินสลาย") รับบท "ขุนพันธ์" และ "น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์" (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "13 เกมสยอง") รับบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้กล้าแกร่งด้วยอาคม เสือร้ายที่ขุนพันธ์ยากจะต่อกร โดยเป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวของการเผชิญหน้าทั้งในส่วนของการเชือดเฉือนบทบาททางด้านการแสดงสุดเข้มข้นรวมไปถึงการปะทะความมันส์ในทุกๆฉากแอคชั่นอย่างเต็มรูปแบบของทั้งคู่ร่วมกัน "อย่างตัวขุนพันธ์ เราต้องการไอคอน เราต้องการคนที่มีลักษณะของการถูกจำได้ เป็นต้นแบบเป็นโมเดล แล้วได้การแสดงที่ดี ดราม่าที่ดี เพราะฉะนั้นการเอาอนันดามาแล้วพอติดหนวดเขี้ยวเข้าไปวันแรกที่เราทำงานกันเรารู้สึกว่ามันใช่เลย หน้านี้ถูกต้องเลยมันมีความสู้คน ความเอาจริงเอาจัง นี่คือสิ่งที่ท่านขุนพันธ์มี ดูแววตา เขาบอกนายพลตาเสืออย่างนี้ เพราะฉะนั้นถามว่าตาอนันดาเป็นตาเสือไหม ก็เป็นตาเสือ เมื่อติดหนวดเขี้ยวเข้าไป เรารู้สึกถึงความดุที่มันอยู่ในตัวคน ท่านขุนพันธ์ก็จะเป็นลักษณะนั้น สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จากนักแสดงอย่างอนันดามันคือการแสดงที่ดี แล้วอนันดาเองเป็นนักแสดงมืออาชีพ ซึ่งเขาเต็มร้อย เพราะในความเป็นแอคชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ได้แอคชั่นธรรมดา มันแอคชั่นกันแบบว่าทั้งวันทั้งคืน จ่อย (อนันดา) ไม่เคยหยุดการขี่ม้า ทั้งๆ ก็ตกม้าไปรอบหนึ่ง สปิริตรุนแรงทั้งคู่ครับ ผมเชื่อว่าสำหรับอนันดาขุนพันธ์เป็นหนังแอคชั่นที่สุดที่เคยเล่นมาในชีวิต ปกติเราจะรู้จักอนันดาจากหน้าตาความหล่อ แต่อันนี้เขาขายฝีมือขายการแสดงขายแอคชั่นที่เต็มเหนี่ยวขึ้น เราจะได้เห็นอนันดาเล่นแอคชั่นทุกรูปแบบ ทั้งต่อสู้บนรถไฟ แอคชั่นดวลกันกลางสายฝน หรือการสู้ด้วยมีดด้วยดาบด้วยปืนด้วยคาถาอาคม เราเชื่อว่าอนันดาทำได้ดี คือเมื่อไหร่ที่คนดูเห็นอนันดากับพี่น้อยประชันบทบาทกันนะ เราเชื่อว่าคนดูจะจับได้ถึงเคมีของคน 2 คนซึ่งมอบการแสดงที่ดีมากๆไว้" ในขณะที่ตัวอนันดาเองเล่าให้ฟังถึงครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโปรเจกต์ขุนพันธ์จากการทาบทามของผู้กำกับที่หาโอกาสร่วมงานกันมานานอย่างก้องเกียรติว่า "จำได้ว่าตอนที่คุยโปรเจกต์ขุนพันธ์ครั้งแรกกับพี่โขม จ่อยพี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่พี่จะปล่อยของจริงๆ พอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุด เต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆอาจตกใจนิดหน่อย หลังๆ ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นกลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้เริ่มเข้าบทบาท เริ่มซ้อมคิวแอคชั่นอะไรทุกอย่าง ได้ฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้น หลังจากนั้นความตื่นเต้นนั้นกลายเป็นความอินครับ คือการที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนพอสมควร คือการที่ตัวผมเป็นนักแสดงคนหนึ่ง มีหน้าที่เป็นนักแสดง แต่งานนี้เราก็ต้องเคารพต่อประวัติชีวิตของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษาพอไปลงลึกก็เห็นว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา จำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่าคือมันเป็นประวัติหรือเรื่องราวของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน ขุนพันธ์มีประโยคเด็ดอยู่ว่า ถ้าพวกมึงยอมสัญญาว่าเลิกเป็นโจร แล้วไปบวชซะ กูจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่ผมชอบมาก ได้เห็นว่าขุนพันธ์เองท่านก็เป็นคนที่เหี้ยมแต่ว่าก็แฟร์ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ท่านเป็นคนมีวิชาอาคมยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆ แล้วขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้เราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่านคือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน เราก็ค่อยมาปั้นตัวละครขุนพันธ์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในภาพยนตร์ก็จะมีหลายเวอร์ชั่นก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายร้อยตำรวจฝึกหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ ที่ตีความไว้คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วก็โชคดีมากครับที่เขาเลือกผม ขอบคุณครับพี่โขม" ในขณะที่ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เองยอมรับว่าติดใจในการร่วมงานกับผู้กำกับ โขม ก้องเกียรติจากผลงานก่อนหน้าอย่างอันธพาลไม่น้อย เพราะนอกจากกวาดทั้งเสียงยกย่องจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ทุกสถาบันที่มีการแจกรางวัลรวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำในสาขานักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมแล้ว การร่วมงานกับผู้กำกับในสไตล์เพอร์เฟคชั่นนิสต์แบบนี้ยังเปิดพื้นที่ในการแสดงให้เขาได้จัดเต็มอย่างเต็มที่ และพอรู้ว่าก้องเกียรติเจาะจงตั้งใจเลือกและส่งบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรคงกระพันผู้เหี้ยมโหดคู่ปรับของขุนพันธ์มาให้ ยังไม่ทันอ่านบทก็ตกปากรับคำทันที และพอได้ศึกษาบทก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด และคงเสียใจถ้าไม่ได้รับบทนี้ "เชื่อว่านักแสดงหลาย ๆ คนมองหาโอกาสที่จะได้เล่นบทร้ายสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพียงแต่ว่าบทร้ายแบบนี้เราจะเล่นอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ บทอัลฮาวียะลูครั้งนี้เป็นการพลิกและเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ เป็นตัวละครที่ค่อนข้างห่างไกลจากคาแรคเตอร์ตัวจริงผมเหลือเกิน ผมเองก็ไม่เคยเล่นหนังพีเรียดมาก่อน แต่ด้วยที่ตัวบทภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมิติเหลือเกิน แล้วเราก็พยายามเบสคาแรคเตอร์ของเรากับโจรที่เป็นคู่ปรับของขุนพันธ์ตัวจริง มันก็เลยเกิดการตีความ 2 อย่างกับบทนี้ เราก็พยายามทั้งศึกษาว่าโจรสมัยโน้นเขาเชื่อมั่นในสิ่งอะไร จุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขาเกิดมาเป็นอย่างไรถึงคิดกลายเป็นโจร แต่ว่าอีกมุมหนึ่งเราก็พยายามใช้จินตนาการ การตีความ มาสร้างตัวละครตัวนี้ มันก็ยิ่งสนุก มันสามารถสร้างสีสันได้ เราก็พยายามดูว่าเราจะสามารถทำอะไรตรงนี้ได้ อัลฮาวียะลูเขาคือคู่ปรับของขุนพันธ์ เป็นมหาโจรที่ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น ขุนพันธ์อาจจะล่าเราได้แต่ฆ่าเราไม่ได้ เพราะตัวอัลฮาวียะลูเองมีรอยสักที่ป้องกันเขาได้ มีอาวุธ มีอาคม คงกระพัน ฉลาดมีไหวพริบ และมีอุดมการณ์ของตัวเอง สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา แล้วชื่ออัลฮาวียะลู แปลว่าหลุมที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งขุนพันธ์จะต้องเข้าไปในหลุมนี้ที่ลึกเหลือเกินเพื่อที่จะปราบอัลฮาวียะลูให้ได้ซึ่งในฉากแอคชั่นสุดท้ายของภาพยนตร์เราจะได้เห็นกันว่าขุนพันธ์ทำได้หรือไม่ ก็คงต้องขอขอบคุณโขม สหมงคลฟิล์ม และบาแรมยู ที่ให้โอกาสเราเล่นบทนี้ เวลาที่เราเป็นนักแสดง เรารู้ว่าการหาโอกาสได้เล่นบท ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์อย่างนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมีมาอีกเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เวลาบทอย่างนี้มา อย่าพลาด พลาดไม่ได้นะ ไม่ว่าจะล้มหรือจะยืนขึ้น ไม่ว่าจะออกมาเป็นยังไง เราก็เลยต้องเต็มที่ แล้วก็จับมัน อย่าปล่อยมัน แล้วผลมันจะออกมาเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่คุณต้องทำให้ดีที่สุดเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงาน1ซีนในสไตล์ของโขมมันจะมีทั้งดราม่าอยู่ในแอคชั่นด้วย ต้องทำทั้ง 2 อย่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง รับบทพูดระหว่างกัน ไปจนถึงแอคชั่นกับการชกต่อยกันจริง ๆ มันคือการถ่ายทอด 2 อย่างในซีนเดียวกัน ซึ่งสำหรับโขมแล้วนี่คือสิ่งที่นักแสดงต้องทำให้ได้ เราต้องเข้าใจว่าเวลาเราเล่นหนังมันมีโอกาสครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็จะอยู่ไปตลอดชีวิต นั่นคือผลงานของเรา" ในขณะที่ผู้กำกับก้องเกียรติเองได้พูดถึงความเต็มร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังทางด้านการแสดงที่น้อยกฤษดาได้มอบให้ "สำหรับพี่น้อยเรายกย่องแล้วก็ขอบคุณพี่เสมอมา กับการที่พี่ให้การแสดงที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและสำหรับผมเสมอๆ พี่ทุ่มเทอินเนอร์ของพี่ทุกอย่าง การเปิดตัวคาแรคเตอร์ที่พี่น้อยกำลังนั่งให้พระองค์หนึ่งสักอยู่ แล้วก็ของขึ้น ผมจำได้ว่าพี่เคยมาถามผมว่าของขึ้นคืออะไร เขาเป็นฝรั่งนะ ก็อธิบายให้เขาฟัง ในสปิริตนักแสดงของเขา เขาสามารถถ่ายทอดออกมาความบ้าคลั่งของตัวละครอัลฮาวียะลูได้อย่างน่ากลัวที่สุด อัลฮาวียะลูชื่อนี้มีความหมายแปลว่าหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง เหมือนหุบเหวที่ไร้จุดที่สิ้นสุด มันลึกมาก เพราะฉะนั้นความลึกของตัวละครตัวนี้มันจมดิ่งมากๆ มันเป็นตัวละครที่กดดันแล้วก็นักแสดงคนไหนที่รับบทลักษณะนี่มันมืด มันเหนื่อย เพราะว่ามันแบกชะตากรรมที่หนักมากของตัวละครเอาไว้ ซึ่งพี่น้อยทำได้ดีทั้งหมด แม้กระทั่งการเผชิญหน้ากันกับตำรวจ หรือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ซึ่งทุกๆ ไดอะล็อกมันมีการปะทะ การเชือดเฉือนกันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะห็นว่ามันไม่ใช่แค่เพียงฉากเดียวที่ 2 คนมาเผชิญหน้ากันแล้วก็ไป แต่ว่าแทบทั้งเรื่องที่ตัวละคร 2 คนนี้ที่ขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูต้องปะทะกันเกือบทั้งเรื่อง เพราะฉะนั้นพี่น้อยรับบทหนักมากพอๆ กัน เราถือว่าถึงชื่อหนังจะชื่อเรื่องขุนพันธ์ก็จริงแต่ว่าอัลฮาวียะลูในเรื่องนี้เป็นบทร้ายที่เทียบเท่ากันในทุกมิติครับ" และแน่นอนว่าเมื่อ 2 คาแรคเตอร์ที่ถูกออกแบบดีไซน์มาให้มีความทัดเทียมกัน ทั้งความสามารถ สติปัญญา ไหวพริบสติปัญญา แกร่งกล้าสามารถด้วยอาคม และการต่อสู้ รวมทั้งคงกระพันหนังเหนียวต้องมาเผชิญหน้ากันภายใต้มุมมองการเล่าเรื่องของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่มีลายเซ็นและสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะดึงอารมณ์ดราม่าของนักแสดง มาผสมผสานการเล่นแอคชั่นได้อย่างลงตัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ 2 สุดยอดซูเปอร์สตาร์ที่เอ่อล้นด้วยพลังดาราแม่เหล็ก อัดแน่นด้วยอินเนอร์และความบ้าพลังทางด้านการแสดงดอย่าง อนันดา และ กฤษดา ด้วยแล้ว ย่อมเป็นการปะทะกันที่ต้องจับตามอง 14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ