กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--ฟอร์ด มอเตอร์ (ประเทศไทย)
บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (ประเทศสหรัฐอเมริกา) ส่งคณะผู้บริหารระดับสูงเยี่ยมชมการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยการเยือนไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารจากบริษัทในเครือ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (ประเทศสหรัฐอเมริกา) ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยลงความเห็นตรงกันว่า ตลาดรถไทยเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ทั้งตลาดภายในประเทศและการส่งออก
คณะผู้บริหารจาก บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (สหรัฐอเมริกา) ที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ อาทิ มร.วอห์น คอชเคอเรียน, ประธานฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิค, มร.มาร์ค ฟิลด์ ประธานบริษัท มาสด้า คอร์เปอเรชั่นส์ (ประเทศญี่ปุ่น) และมร. เจอรี่ คาเนีย ประธานฟอร์ด อาเซียน โอเปอเรชั่นส์ เป็นต้น โดยมี นายฉัตรชัย บุนนาค ประธานบริษัท ฟอร์ด โอเปอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้แทนจากประเทศไทย เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
"นับตั้งแต่ ฟอร์ด มอเตอร์ ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของยอดขายรถยนต์ฟอร์ด เป็นสัญญาณบวกที่น่าพอใจ นอกจากนี้การส่งออกรถยนต์ จากประเทศไทยไปทั่วโลก ก็ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในเรื่องของคุณภาพของสินค้าที่ได้มาตรฐาน" นายฉัตรชัย บุนนาค ประธานบริษัท ฟอร์ด โอเปอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) กล่าว "ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของไทยยังไม่ฟื้นตัวสู่สภาวะปกติ แต่จากความตั้งใจร่วมมือร่วมใจในการแก้ปัญหา ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน อีกทั้งความพร้อมของประเทศไทย อีกหลายด้าน อาทิโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม การส่งเสริมการลงทุน รวมถึงช่างฝีมือแรงงาน ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วก้าวทันตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในเวลาที่นานนัก และส่งผลดีต่อตลาดรถยนต์ไทยให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง"
การมาเยือนประเทศไทยของคณะผู้บริหารฟอร์ด มอเตอร์ (สหรัฐอเมริกา) นอกจากการประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการเติบโตของฟอร์ดในตลาดรถของไทยแล้ว ยังได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยีการผลิตอันล้ำหน้า ของโรงานออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นฐาน การผลิตรถฟอร์ดที่สำคัญของภูมิภาคนี้ เป็นศูนย์กลางในการผลิตรถกระบะฟอร์ดเรนเจอร์ส่งออก ไปทั่วโลก
การประชุมพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในครั้งนี้ เป็นการรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่งภายใต้ การบริหารงานของ ฟอร์ด มอเตอร์ โดยนำเอาจุดแข็งของแต่ละบริษัทฯ มาเป็นแนวนโยบายในการ หาทางขยายตลาดในประเทศไทยให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุน การขยายเครือข่าย การพัฒนาการบริการ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ e-business รวมถึงการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น นายฉัตรชัย กล่าวสรุป คณะผู้บริหารที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ของไทยนับว่ามีความพร้อมในทุกด้าน รวมถึงการผลักดันข้อตกลงเรื่อง เขตการค้าเสรี อาฟต้า จะมีส่วนช่วยให้ตลาดรถภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทย มีการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้ได้อย่างแน่นอน--จบ--
-สส-