ทิสโก้แนะปรับกลยุทธ์ รับมือหลัง Brexit ลดน้ำหนัก “ยุโรป-ทอง” เพิ่ม REITs ญี่ปุ่น ด้านหุ้นไทยเน้นรายตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 14, 2016 11:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้จัด "TISCO Wealth Investment Special Talk" แนะนักลงทุนปรับพอร์ต รับมือกระแสลงทุนโลกเปลี่ยนโฉมหลังเผชิญ Brexit Shock จัดหุ้น "ญี่ปุ่น" ขึ้นแทนดาวเด่นครึ่งปีหลัง รับกระแสผ่อนคลายทางการเงินและ Fund Flow ไหลเข้า แนะนำ REITs เป็นทางเลือกลงทุน รับธีมยุคดอกเบี้ยต่ำ ด้านหุ้นไทยต้องSelectiveรอรับอานิสงส์ต่างชาติเข้าลงทุน นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า แม้ Brexit จะจบไปแต่ปัญหาทางการเมืองในยุโรปยังคงอยู่ เรามองว่าผลโหวต Brexit เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาการเมืองในยุโรปที่ฝังรากลึก ซึ่งความไม่พอใจของประชาชนที่สั่งสมมานานจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ได้ถูกสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มต่อต้านพรรคการเมืองกระแสหลัก ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจ และหันไปให้การสนับสนุนพรรคการเมืองเกิดใหม่ ซึ่งมีนโยบายสุดโต่ง เช่น การต่อต้านการรัดเข็มขัด (เช่น พรรค Syriza ในกรีซ พรรค Podemos ในสเปน และพรรค Five Star Movement ในอิตาลี) รวมไปถึงความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของท้องถิ่นเพื่อแยกตัวออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจตกต่ำ (เช่น แคว้นคาตาลันในสเปน และเวนิสในอิตาลี เป็นต้น) โดยความเสี่ยงในระยะสั้นที่ต้องจับตามองได้แก่ 1) การเจรจาต่อรองสิทธิประโยชน์ทางการค้าและภาษีภายหลังจากอังกฤษออกจาก EU 2) การจัดตั้งรัฐบาลในสเปนที่ล่าช้า เนื่องจากคะแนนความนิยมของพรรคเล็กที่เพิ่มขึ้นทำให้การจัดตั้งรัฐบาลผสมล้มเหลว และประเทศอยู่ในภาวะสุญญากาศทางการเมืองมาเป็นเวลากว่า 6 เดือนมาแล้ว และ 3) การลงประชามติของอิตาลีในเดือน ต.ค. ซึ่งหากประชามติไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน อิตาลีอาจต้องจัดการเลือกตั้งภายในปีนี้ และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายต่อต้านยุโรป นอกจากนั้นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอิตาลี และ EU อาจทำให้การแก้ไขปัญหาในภาคธนาคารล่าช้าซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย เรามองพื้นฐานเศรษฐกิจยุโรปจะถูกกดดันจากความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคาร จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว เราจึงแนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในยุโรป และหันไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ประเภท REITs ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น (US REITs และ J-REITs) ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจพึ่งการเติบโตในประเทศเป็นหลัก และญี่ปุ่น ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่จากทั้งนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินที่น่าจะทยอยออกมาเร็วๆ นี้ นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ สรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยไว้ว่า Brexit ทำให้ตลาดไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยในครึ่งแรกของปี 2016 มีการซื้อสุทธิ 36,510 ล้านบาท จากเดิมปี 2013-2015 ที่ขายสุทธิ -384,850 บาท มองในช่วงครึ่งปีหลัง SET Index อาจปรับขึ้นไปได้ถึง 1,530 และจะปรับเป้าหมายเป็น1,580 จุด หากประชามติวันที่ 7 สิงหาคม ผ่าน เนื่องจากจะมี Fund Flow ไหลเข้าอีกในระดับ 30,000-60,000 ล้านบาท จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นรายตัว (Selective) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Domestic ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วงครึ่งปีที่เหลือ เช่น กลุ่มสื่อสาร ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ โดยหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากมองว่า ราคาน้ำมันจะกลับมาเป็นขาลง โดยอาจร่วงไปได้ถึง 40-42 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและญี่ปุ่นรับกระแส Fund Flow ไหลเข้า หลังจากยุโรปมีความไม่แน่นอนสืบเนื่องจากBrexit ทำให้เอเชียรวมทั้งญี่ปุ่นมีความโดดเด่น จากปัจจัยเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง นโยบายการเงินมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น และนักลงทุนต่างชาติที่ยังให้น้ำหนักการลงทุนไม่สูง โดยเน้นการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น อินเดีย จีน ผ่านกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น 225 บริษัท อ้างอิงดัชนี Nikkei 225 "สำหรับทางเลือกในการลงทุนอื่นนอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น การลงทุนในREITs ก็มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคดอกเบี้ยต่ำ โดย REITs ยังคงจ่ายปันผลในระดับที่ดีและสม่ำเสมอ บลจ.ทิสโก้เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนใน REITsสหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่อง จากอัตราการจ่ายเงินปันผลยังคงถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่มีแนวโน้มจะต่ำลงเรื่อยๆ และติดลบเช่นพันธบัตรญี่ปุ่น นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนผ่านกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท (TJREIT)" สาห์รัช กล่าว สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงไม่ได้มาก แต่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและดีกว่าเงินฝาก เราแนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยประมาณ 50% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 25% และลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 25% เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ตามที่บริษัทจัดการพิจารณาเห็นสมควร สุดท้ายการลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาคัดเลือกหุ้นด้วยตนเอง บลจ.ทิสโก้ขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็ก โดยบลจ.จะคัดเลือกโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ เป็นรายตัว เน้นลงทุนในบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีการเติบโตสูง ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และเนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผู้สนใจผลิตภัณฑ์กองทุนของ บลจ.ทิสโก้ สามารถสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวน ได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือติดต่อTISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4 และสำหรับผู้ที่สนใจบริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ/อีทีเอฟต่างประเทศ ของ บล.ทิสโก้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ TISCO Global Trade โทร. 02-633-6655

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ