เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สานต่อบทบาทผู้นำธุรกิจรีเทลริมน้ำเจ้าพระยา ปูพรมเผยโฉมไฮไลท์ความบันเทิงใหม่ พร้อมแผนการพัฒนาเฟส 2

ข่าวทั่วไป Wednesday September 7, 2016 11:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สานต่อบทบาทผู้นำธุรกิจรีเทลริมน้ำเจ้าพระยาปูพรมเผยโฉมไฮไลท์ความบันเทิงใหม่ พร้อมแผนการพัฒนาเฟส 2 สู่การเป็น One stop serviceคาดปี 59 กวาดรายได้ 500 ลบ. เพิ่มขึ้นจากปีแรก 100% เต็ม เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เผยกลยุทธ์รักษาแชมป์รีเทลริมน้ำเจ้าพระยาของไทย เตรียมขยาย และพัฒนาพื้นที่เฟสแรก เพิ่มความบันเทิงทั้งไทยเทศ เนรมิตแมกเน็ตใหม่ ย้อนประวัติศาสตร์หน้าท่า กับ 'เรือใบสามเสาสมัยรัชกาลที่ 5 ขนาดเท่าของจริง' เพื่อดึงคนเข้าชม พร้อมขยายท่าเรือรองรับเรือสำราญเพิ่มทราฟฟิก จับมือหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนสร้างแบรนด์และแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมหนุนการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน นายสุรสิทธิ์ มานะวัฒนากิจ ผู้จัดการทรัพย์สิน 1 บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่า เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของไทยที่จุดประกายให้การท่องเที่ยวริมแม่น้ำได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งพิจารณาจากอัตราการเข้าพักของโรงแรมย่านริมน้ำจากเดิมอยู่ที่ 35% ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 80% ในปัจจุบัน หรือแม้แต่การเกิดใหม่ของโครงการรีเทลตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดย่อมแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่สดใสในอนาคต "ความสำเร็จในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่โครงการของเรา แต่มันเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบในย่านเจริญกรุง และขยายไปตลอดแนวริมน้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่ง ปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในโครงการแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 40% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชีย ประกอบด้วย ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง อินโดนีเซีย และขยายตลาดไปยังโซนยุโรป โดยอัตราการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเฉลี่ยที่ 1,500 บาท และ 2,000 บาทตามลำดับ" นายสุรสิทธิ์ มานะวัฒนากิจ กล่าว ทั้งนี้ เกี่ยวกับทิศทางและกลยุทธ์ของ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในการสานต่อการเป็นผู้นำด้านธุรกิจรีเทลริมน้ำนั้น นายสุรสิทธิ์ มานะวัฒนากิจ กล่าวถึงรายละเอียดว่า นอกจากการสร้างสรรค์ไฮไลท์หลักเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ เอเชียทีค สกาย, คาลิปโซต์ คาบาเร่ต์ โชว์, มวยไทย ไลฟ์, รูปปั้นจูเลียต และโจหลุยส์ เราเองไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างไฮไลท์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นภายในโครงการ โดยในปลายปีหน้าเราได้จัดเตรียมไฮไลท์หลัก เพื่อนำเสนอสู่นักท่องเที่ยวก็คือ การสร้างเรือใบสามเสาที่นำต้นแบบมาจากเรือรบหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีขนาดเท่าของจริงเพื่อนำมาจอดเทียบท่าเอเชียทีคพร้อมพัฒนาเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งเพื่อสร้างประสบการณ์ความประทับใจใหม่ให้เกิดขึ้นแก่ผู้มาเยือน ซึ่งจะดำเนินงานโดยฟู้ด ออฟ เอเชีย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแมกเน็ตใหม่ที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เรายังได้วางแผนขยายท่าเรือเป็น 3 ท่าซึ่งจะเป็นท่าเรือที่ยาวที่สุดที่สามารถรองรับเรือสำราญได้พร้อมกันถึงสองลำ และปรับพื้นที่รองรับการจอดของเรือท่องเที่ยว Dinner Cruise เพิ่มความสะดวกในการแวะท่องเที่ยว และที่สำคัญยังได้เพิ่มจำนวนเรือโดยสารของเอเชียทีคให้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ด้านการเพิ่มความหลากหลายในการช้อปปิ้งนั้น เราได้ปรับพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตรเพื่อพัฒนาเป็น Street Fashion Zone บนพื้นที่บริเวณซอย4 และปรับสไตล์การนำเสนอสินค้าในโกดัง 7 และ 8 ให้เป็น Urbano Zone อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อพัฒนาสู่ศูนย์กลางสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการเอเชียทีคเฟส 2 นั้น นายสุรสิทธิ์ มานะวัฒนากิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคืบหน้าไปมากแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงแรมร่วมกันกับบริษัทที่จะเข้ามาบริหาร ซึ่งเบื้องต้นโรงแรมที่จะพัฒนานั้นมีจำนวน 800 ห้อง พร้อมด้วยห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ห้องจัดเลี้ยง และได้จัดสรรพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรเพื่อดำเนินธุรกิจรีเทล เพื่อให้เป็น one stop service โดยมีเอเชียทีคในเฟสแรกเป็นส่วนเติมเต็มด้านสันทนาการและการช้อปปิ้ง ด้านนายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการทั่วไป โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้พัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไทยได้สำเร็จจนสามารถคว้ารางวัลต่างๆ มาครองได้อย่างสมภาคภูมิ อาทิ THAILAND PROPERTY AWARDS 2012 "Best Commercial Development Thailand" NOW TRAVEL ASIA AWARDS 2014 "ASIA'S TOP ENTERTAINMENT COMPLEX" Award of "Best Business Plan" 2014 PEOPLE'S CHOICE AWARDS THAILAND "Top Choice Shopping Area" 2016 Recreational attraction standard excellent level 2015-2017 ปัจจุบัน เรามีจำนวนร้านค้าประมาณ 1,500 ร้านค้า มีปริมาณนักท่องเที่ยวในช่วงวันธรรมดาอยู่ที่ 30,000 คน และช่วงวันหยุดประมาณ 50,000 คน และเราเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้อีกในอนาคตเพราะเรามีการจัดและโปรโมท Iconic Event สำคัญ ได้แก่ เทศกาลปีใหม่, เทศกาลสงกรานต์ และเทศกาลลอยกระทง ทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ความร่วมมือของบริษัททัวร์ชั้นนำของไทยกว่า 400 บริษัท และที่สำคัญคือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือ ATTA ที่เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมโรดโชว์ในงานต่างๆ ในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างให้เกิดการรับรู้ในพื้นที่เป้าหมาย และจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน "ในปีนี้เราได้จัดสรรงบการตลาดไว้ที่ 60 ล้านบาท เรามีการสร้างการรับรู้ตลอดจนกระตุ้นให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเอเชียทีคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมหารือแนวทางกับสมาคมธุรกิจการค้าในแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแผนกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวแล้ว ยังได้ผนึกพลังกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ในธุรกิจต่างๆ จัดแคมเปญโปรโมชั่นร่วมกัน อาทิ การจับมือกับธุรกิจสายการบินได้แก่ การบินไทยและแอร์เอเชียในการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่กลุ่มลูกค้าสายการบินนั้นๆ และพร้อมที่จะขยายความร่วมมือไปยังสายการบินอื่นๆ ในอนาคต" นายมานพ คำสว่าง กล่าว ด้านการปรับอัตราเช่าของโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ นั้น นายมานพ คำสว่างกล่าวเพิ่มเติมว่า เอเชียทีค มีการปรับค่าเช่าเพิ่มเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ปัจจุบันค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 บาทต่อตารางเมตร โดยพื้นที่สามารถปล่อยเช่าได้แล้วเต็ม 100% ซึ่งจากแผนและกลยุทธ์การตลาดทำให้เรามั่นใจว่า เราจะสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างแน่นอน และเราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยาให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต
แท็ก เอเชีย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ