ก้าวเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ เพื่อ “ชาวนาไทย” มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ข่าวทั่วไป Wednesday September 7, 2016 18:13 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--เฟลชแมน ฮิลลาร์ด "ข้าว" เป็นอาหารหลักที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างช้านานและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทว่าชาวนาไทยในหลายพื้นที่ยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และต้องเผชิญอุปสรรคที่หลากหลายในการประกอบอาชีพ อันเป็นเหตุมาจากราคาข้าวที่มีการผันผวน ปริมาณข้าวที่ผลิตได้ลดน้อยลง รวมถึงปัญหาภัยแล้งในประเทศไทยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ต่างเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับชาวนาในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ชาวนา 16 ครอบครัว บนพื้นที่ 80 ไร่ ซึ่งเป็นชุมชนรอบวัดทิพย์สุคนธาราม ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของกลุ่มคนที่ประสบกับความท้าทายในการทำนา เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ปัญหาด้านความแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำ รวมถึงคุณภาพของดิน ทำให้ปริมาณผลผลิตแต่ละครั้งไม่มีความแน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ที่เข้ามาจุนเจือครอบครัว แต่ท่ามกลางปัญหาที่ต้องเผชิญ สิ่งหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้จากชาวนากลุ่มนี้คือ ความตั้งใจจริงในการต่อยอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาให้ชุมชนก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ เพื่อเป็นการวางรากฐานและขับเคลื่อนให้ประชาชนและประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ซึ่งรวมไปถึงการดำเนิน "โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช" มาตั้งแต่ปี 2555 เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชาวนาไทยให้ดีขึ้นผ่านการส่งเสริมการปลูกข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งแต่ละพื้นที่ที่ได้ดำเนินการใน ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ในปีนี้ จึงได้ขยายผลโครงการสู่ชุมชนรอบวัดทิพย์สุคนธาราม อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี เป็นพื้นที่ที่ห้า โดยเข้าไปสนับสนุนองค์ความรู้ การพัฒนากลุ่มอย่างครบวงจรตั้งแต่กระบวนการปลูก กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าวหอมมะลิ รวมทั้งการนำองค์ความรู้ที่มีคุณค่าและภูมิปัญญาของกลุ่มมาต่อยอดและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในมุมกว้าง เพื่อให้ชาวนาสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยตระหนักดีว่า การเพิ่มมูลค่า (Value-Creation) ให้แก่ข้าวในชุมชน ทั้งด้านคุณภาพ รูปลักษณ์ และการสร้างแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อขยายผลจากข้าวชุมชน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ชุมชนมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน อินทัช จึงได้เข้าสำรวจ วิเคราะห์สภาพพื้นที่ และปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของชุมชน ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มชาวนา ผู้นำชุมชน และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มต้นจากการเลือกใช้พันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 ที่ปลูกมาต่อเนื่องกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวนาชุมชนห้วยกระเจา ผ่านการปลูกด้วยวิธีการธรรมชาติและปลอดสารเคมี และนำมาต่อยอดด้วยการบรรจุลงใน แพคเกจจิ้งที่ดูทันสมัยและได้มาตรฐาน ซึ่งจากการพัฒนาและปรับเปลี่ยงวิธีการทำงานของชาวชุมชน ทำให้ได้ข้าวที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี) และเกิดผลสืบเนื่องตามมาคือตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้น และช่องทางการขายที่หลากหลาย ซึ่งในปัจจุบัน มูลค่าข้าวที่ขายได้ต่อกิโลกรัมมีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว "เรามีความเชื่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าว่าเราทำนาเพื่อกิน แต่อินทัชเข้ามาแสดงให้เห็นว่าการตั้งกลุ่มและดำเนินกิจกรรมร่วมกัน การสร้างผลิตภัณฑ์ และการหาช่องทางขาย จะสามารถนำมาปรับใช้และก่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มชาวนาของเราได้" นายโรจน์ศักดิ์ บุญมี ประธานคณะกรรมการโครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช จังหวัดกาญจนบุรี กล่าว นอกจากการเสริมสร้างองค์ความรู้ และการเพิ่มมูลค่า อินทัช ยังได้จัดอบรมความรู้จากนักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน และการนำสมาชิกโครงการไปศึกษาดูงาน สนับสนุนทุนและอุปกรณ์จำเป็นในการผลิต รวมไปถึงการร่วมสนับสนุนการจัดตั้งโรงเรียนชาวนาโดยกลุ่มสมาชิกโครงการฯ เพื่อเปิดโอกาสและสร้างเวทีให้ชาวนามีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่งเสริมความรู้ และนำประสบการณ์ของชาวนาบริเวณใกล้เคียงมารวมกัน เพื่อต่อยอดและสร้างเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม เพื่อให้เกิดชุมชนที่เข้มแข็ง และสามารถเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สร้างความแตกต่าง และเสริมศักยภาพให้แก่ชาวนาในพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชมได้อีกด้วย นายฟิลิป เชียง ชอง แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า "อินทัชยังคงน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดในการดำเนินโครงการ ผสานประสบการณ์จากการทำโครงการที่ผ่านมาเข้ากับฐานทุนของท้องถิ่น พร้อมทั้งใช้ศักยภาพของบริษัทเข้าไปช่วยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการทำงานที่มีองค์ความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ และยิ่งไปกว่านั้น คณะผู้บริหารของอินทัชยังได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชน และเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ชาวบ้านด้วยตนเองอีกด้วย" นายฟิลิป กล่าวทิ้งท้ายว่า "ถึงแม้จะเป็นโครงการของอินทัช แต่มันคือชีวิตของชาวนาไทย ที่เป็นฝ่ายเลือกและให้ความไว้วางใจกับเรา อินทัชในฐานะที่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยมากว่า 33 ปี ตระหนักดีว่าเราต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อพัฒนาให้โครงการประสบผลสำเร็จ และให้ชาวนาไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ