กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--สพช.
สพช. เผยเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่ม 20 สตางค์จากเบนซินออกเทน 95 เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายการใช้ออกเทนให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคระกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เปิดเผยว่า เดิมราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 แตกต่างกัน 80 สตางค์/ลิตร แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายรณรงค์การใช้น้ำมันเบนซินออกเทนให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรัฐบาล ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2543 ผู้ค้าน้ำมันจึงได้ปรับลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์/ลิตร เพื่อให้ความแตกต่างของราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินทั้ง 2 ชนิด เพิ่มขึ้นเป็น 1 บาท/ลิตร และเป็นการจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น ทั้งนี้จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีรายรับรวมลดลงเพราะผู้บริโภคหันไปใช้น้ำมันเบนซินออกเทนที่มีค่าการตลาดต่ำ และไม่อยากจะสนับสนุน นโยบายการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์
"ดังนั้น สพช. จึงได้ใช้การบริหารกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรักษาความแตกต่างระหว่างเบนซินออกเทน 95 และ91 ให้อยู่ในระดับ 1 บาท/ลิตร และให้ผู้ค้ามีรายได้ในระดับเดิม เพื่อร่วมมือในการสนับสนุนนโยบายการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้นโยบายดังกล่าวดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น โดยปรับเพิ่มอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซินออกเทน 95 ขึ้น 20 สตางค์/ลิตร นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถตรึงราคา LPG ได้มากขึ้นด้วย" รองเลขาธิการ สพช.กล่าว
ขณะนี้ฐานะของเงินกองทุนน้ำมันฯ ลดลงมาอยู่ในระดับ 1,300 ล้านบาท ซึ่งหากลดลงต่ำกว่านี้จะทำให้กิดปัญหาตามมา ดังนั้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 20 สตาค์/ลิตร หรือเพิ่มขึ้น 78 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับประมาณ 583 ล้านบาทต่อเดือน
"จากสถานการณ์ราคาก๊าซหุงต้มเดือนมิถุนายน ที่สูงขึ้นอีก 15 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ในระดับ 270 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้ต้องมีการชดเชยราคาที่สูงขึ้นอีก 79 ล้านบาทต่อเดือนเป็น 820 ล้านบาทต่อเดือน การปรับอัตราเงินกองทุนฯ ทำให้เงินกองทุนน้ำมันไหลออกสุทธิอยู่ในระดับเดิม 236 ล้านบาทต่อเดือน ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถชดเชยราคาก๊าซหุงต้มได้อีก 4 เดือน หรือสามารถชดเชยราคาได้ถึงเดือนตุลาคมนี้" นายเมตตา กล่าว--จบ--
-อน-