ซีสในเต้านม รักษาได้ด้วยเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้โรคหายได้

ข่าวทั่วไป Wednesday January 25, 2017 10:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ม.ค.--Core and Peak สถิติโรคซีสพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบมากในมดลูก รังไข่ และเต้านม ซึ่งตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีนโรคซีสเกิดจากภาวะความเครียดสะสม หงุดหงิด ไม่สบายใจ ทำให้เส้นปราสาทลมปราณมีปัญหา หรือแรียกอาการนี้ว่า "จิตอุดตัน" สามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้โรคหายได้ ควบคู่กับการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกิดไปจนทำให้สูญเสียพลัง อาจารย์หยาง เผยเซิน แพทย์จีนประจำคณาเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า ซีสพบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะในมดลูก รังไข่ และเต้านม ซึ่งสาเหตุตามศาสตร์แพทย์แผนจีนมาจากเกิดภาวะ "จิตอุดตัน" มีอารมณ์เครียดสะสม หงุดหงิดใจ ไม่สบายใจ เป็นเวลานานจิตไม่สามารถผ่อนคลายได้ทำให้เส้นปราสาทลมปราณติดขัดเกิดเรียกว่า "ถาน" หรือ "เสมหะ" เพราะธาตุหยางในกระเพาะพร่องก่อเกิดของเสียตกค้าง แปรสภาพกลายเป็นเสมหะ เมื่อเสมหะสะสมมากขึ้นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปอุดตันในอวัยวะต่างๆ กลายเป็นโรคซีสในที่สุด อาการของซีสเริ่มต้นจะตรวจไม่พบด้วยเครื่องมือแพทย์ จะพบว่าเป็นซีสต่อเมื่อเป็นก้อนใหญ่แล้ว ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนถือว่าพบช้าไป ทำให้ทางเลือกของผู้ป่วยมีน้อยจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนซีสออก ซึ่งมีผลเสียทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัว และการผ่าตัดออกก็ไม่ได้รับประกันว่าซีสจะไม่กลับมาอีกเพราะอาจจะไปเป็นที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ที่คอ หรือต่อมน้ำเหลืองในระยะเวลา 1-2 ปี หรือถ้าอาการเป็นหนักอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งในระยะเวลา 4-5 ปี การรักษาโรคซีสตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีนให้รักษาที่ต้นเหตุก่อนที่ผลของโรคจะเกิดขึ้น คือรักษาที่จิตที่มีความอุดตัน อาจจะให้ผู้ป่วยทำสมาธิเพื่อให้ผ่อนคลาย ออกกำลังกายที่ไม่หักโหม หรือทำให้สูญเสียพลัง ทั้งนี้ผู้ป่วยในต่างประเทศเมื่อพบว่ามีอาการทางจิตมักจะไปพบจิตแพทย์ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องจิตเท่าไร ไม่เข้าใจว่าทำไมจิตถึงต้องอุดตัน มีอาการเก็บกดไว้รอให้เป็นมากๆ ค่อยรักษา วิธีสังเกตอาการจิตอุตตัดผู้ป่วยจะมีอาการปวดศรีษะ ตึงๆ มีลมข้างในเยอะ ตัวเย็นเกินไป รู้สึกไม่สบายตัว มีเสพหะเหนื่ยวๆ วนเวียนอยู่ในร่างกาย และหากตกค้างไว้นานจะทำให้เป็นซีสได้ ซึ่งศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถรักษาได้แต่เนิ่นๆ ด้วยการทานยาสมุนไพร กัวซา หรือฝั่งเข็มติดต่อกัน 12 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการทำให้เลือดลมหมุนเวียนคล่อง อาการปวดก็จะค่อยๆ หายไป รวมทั้งผู้ป่วยต้องดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสังเกตลิ้นตัวเอง ถ้าปกติ ลิ้นจะเป็นสีชมพู ถ้าลิ้นเป็นจุดสีดำ หรือใต้ลิ้นเป็นสีดำให้รีบรักษา หรือไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยอาการทิ้งไว้ นอกจากนี้สภาพแวดล้อมและเรื่องการรับประทานอาหารก็สำคัญด้วย ไม่รับประทานอาหารที่เป็นเค้ก หรือไอศกรีม มากเกินไป ควรรับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายอุ่นเมื่ออากาศเปลี่ยน เช่น น้ำขิงอุ่น เป็นต้น ทั้งนี้หลักแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับ "ระบบตับ" รวมถึงเส้นลมปราณตับก็เป็นเส้นลมปราณสำคัญในการรักษาโรคทางนรีเวช เพราะหาก "ระบบตับ" เกิดความผิดปกติจะส่งผลต่ออารมณ์ทำให้หงุดหงิด โกรธง่าย และเกิดความเครียด อีกทั้งใบหน้าเศร้าหมอง ขณะเดียวกันหากการไหลเวียนลมปราณ (เลือดลม หรือชี่) ในเส้นลมปราณตับติดขัดจะทำให้การไหลเวียนเลือดติดขัดเช่นกันในสตรีจะเกิดอาการปวดประจำเดือน ประจำเดือนไม่มา หรือเกิดเนื้องอกได้ มีอาการเลือดจะคั่งค้างในมดลูก และอาจเกิดเป็นซีสต์หรือเนื้องอกในมดลูก รวมถึงเกิดอาการเจ็บอก ปวดคัดเต้านม และอาจเป็นซีสต์หรือเนื้องอกในเต้านมได้เช่นกัน ระบบเส้นลมปราณตับยังเกี่ยวพันกับใบหน้า ปัญหาฝ้า หากไม่ใช่เกิดจากพันธุกรรม ส่วนหนึ่งมักเกิดจากระบบตับเสียสมดุล รวมถึงการไหลเวียนของลมปราณตับติดขัด ดังนั้น ผู้หญิงอายุ 30-50 ปี ใบหน้าจะเริ่มมีฝ้า เนื่องจากความเสื่อมถอยของ "ระบบตับ" การขาดการบำรุงและการดูแลที่ถูกต้อง การรักษาโรคจึงต้องมาดูที่ต้นเหตุ คือมาดูแลระบบตับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ