วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) เผยโฉม DJI Inspire 2 โดรนสมรรถนะสูง มุ่งตอบโจทย์นักสร้างภาพยนตร์ระดับโลกและวงการอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์

ข่าวเทคโนโลยี Wednesday March 22, 2017 09:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--วีเอสที อีซีเอส บริษัทวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉมโดรนใหม่ รุ่นใหญ่ DJI Inspire 2 มุ่งตอบโจทย์ระดับผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ระดับโลกและวงการอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ภายในอินทริเกรทระบบการถ่ายทอดสัญญาณในระบบ HD Video รวมถึงมอเตอร์แกนหมุนอิสระ (Gimbal) ถึง 360 องศา และกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดคือ X4S และ X5S ที่มีความละเอียดสูงมาก สามารถเก็บภาพนิ่งได้ชัดถึง 20.8 MP และภาพวิดีโอชัดได้ถึง 5.2K ที่ 30เฟรมต่อวินาที ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ทั่วโลก พร้อมตอบโจทย์ด้านความเร็วสูงสุด สามารถเร่งสปีดความเร็วในการบินจากระดับ 0-50 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 80 กม.ต่อชั่วโมงได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น บินด้วยความเร็วได้สูงสุดถึง94 กม.ต่อชั่วโมง และทำเวลาในการลดระดับการบินได้ที่ 9 เมตรต่อวินาที ซึ่งแสดงถึงระดับความเร็วและความคล่องตัวที่ดีเยี่ยมสำหรับอากาศยานในระดับนี้ พร้อมแบตเตอรี่ปรับปรุงใหม่ให้บินได้ต่อเนื่องถึง 27 นาทีและให้ระยะการควบคุมการบิน 7 กิโลเมตร เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางและป้องกันการชน 2 ทิศทาง ทั้งด้านหน้าและด้านบน และ Smart Return To Homeกลับฐานตามเส้นทางบินเดิม พร้อมใช้เซนเซอร์หน้าในการตรวจจับสิ่งกีดขวางขณะบินกลับอีกด้วย พลังแรงเหนือจินตนาการ DJI เปิดตัวอย่างสวยงามและยิ่งใหญ่ไปกับ Inspire 1 โดรนรุ่นแรกสุดของโลกที่มาพร้อมด้วยความสามารถในการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งตัวเครื่องได้อินทริเกรทระบบการถ่ายทอดสัญญาณในระบบ HD Video รวมถึงมอเตอร์แกนหมุนอิสระ (Gimbal) ถึง 360 องศาและกล้องที่มีความคมชัดระดับ 4K พร้อมด้วยแอพพลิเคชันเพื่อการควบคุมตัวเครื่องที่ใช้งานง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดตัวกล้อง Zenmuse X5 และ X5R ที่ผนวกเข้ากับโดรนรุ่น Inspire ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ทั่วโลก Inspire 2 ได้รวบรวมเอาทุกคุณสมบัติโดดเด่นของ Inspire 1 มาไว้ที่รุ่นนี้ทั้งหมดและยังได้มีการพัฒนาปรับปรุงคุณสมบัติการใช้งานเพิ่มเติมอีกด้วย อาทิ ระบบประมวลผลภาพใหม่ทั้งหมดซึ่งสามารถบันทึกภาพได้สูงสุดถึง 5.2K ในระบบ CinemaDNG RAW รวมถึง Apple ProRes และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนั้นโดรนในรุ่นนี้ยังสามารถสปีดความเร็วในการบินจากระดับ 0-50 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 80 กม.ต่อชั่วโมงได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 58ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 94 กม.ต่อชั่วโมง และสามารถทำความเร็วในการลดระดับการบินได้ที่ 9 เมตรต่อวินาที ซึ่งแสดงถึงระดับความเร็วและความคล่องตัวที่ดีเยี่ยมสำหรับอากาศยานในระดับนี้ ในส่วนของแบตเตอรี่นั้นได้ปรับปรุงคุณสมบัติให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยสามารถบินต่อเนื่องได้นานสูงสุดถึง 27 นาที พร้อมด้วยกล้องขั้นเทพ คือ X4S ในขณะที่เทคโนโลยีการทำความร้อนในตัวเครื่องจะช่วยให้โดรนนี้สามารถบินขึ้นได้แม้จะอยู่ในที่อุณหภูมิต่ำหรือติดลบก็ตาม สำหรับคุณสมบัติของFlightAutonomy ก็ได้มีการปรับปรุงพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Inspire2 ที่มาพร้อมด้วยความสามารถในการหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง 2 ทิศทางและระบบเซนเซอร์สำรอง นอกจากนั้นยังเพิ่มคุณสมบัติโหมดการบินอัจฉริยะซึ่งหลากหลายขึ้น รวมถึงคุณสมบัติของSpotlightPro ที่จะช่วยให้สามารถสร้างภาพที่สวยงามและซับซ้อนได้อย่างน่าทึ่งแม้จะมีผู้บังคับอากาศยานเพียงแค่คนเดียวก็ตาม นอกจากนั้นยังได้อัพเกรดระบบการถ่ายทอดวิดีโอให้รองรับได้ทั้งสัญญาณความถี่คู่และแบบสองช่องทาง รวมถึงการสตรีมมิ่งวิดีโอจากกล้อง FPV และกล้องหลักได้ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้การทำงานร่วมกันระหว่างผู้บังคับการบินและผู้กำกับภาพกล้องสอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ การหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ระบบการรับภาพของโดรนทั้งข้างหน้าและข้างล่างจะช่วยให้ Inspire 2 สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวางด้านหน้าได้ในระยะ 30 เมตร ซึ่งจะช่วยป้องกันการบินในระดับความเร็ว 34 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 54 กม.ต่อชั่วโมงในมุมตำแหน่งที่สามารถควบคุมได้ในระดับ 25 องศา พร้อมด้วยเซนเซอร์อินฟราเรดด้านบนที่สามารถสแกนสิ่งกีดขวางที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ในระดับ 16 ฟุตหรือ 5 เมตร ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยในการบินในพื้นที่ปิด โดยระบบเซนเซอร์สิ่งกีดขวางนี้จะทำงานได้เมื่ออยู่ในโหมดการบินแบบปกติ รวมถึง RTH และทุกโหมดของการบินแบบอัจฉริยะ ซึ่งเซนเซอร์นี้เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของระบบ DJI FlightAutonomy ซึ่งเป็นที่มาของคุณสมบัติอันชาญฉลาดในรุ่น Inspire 2 ดังนี้ Spotlight Pro Spotlight Pro คือโหมดการบินติดตามวัตถุที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้บังคับโดรนสามารถบันทึกภาพที่สวยงามซับซ้อนและน่าทึ่งได้ โดยใช้ขั้นตอนกรรมวิธีการติดตามภาพขั้นสูงเพื่อล็อควัตถุที่ต้องการติดตามในระหว่างที่ทำการบินได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงทิศทางที่บิน ให้คุณเก็บภาพดี ๆ ได้ทันที และถ้ามอเตอร์ของกล้องที่หมุนอย่างอิสระ (Gimbal) ใกล้ถึงขีดจำกัดที่จะหมุนแล้ว Inspire 2 จะทำหน้าที่หมุนตัวโดรนไปในทิศทางเดียวกันด้วยตัวเองโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการควบคุมการบินหรือการจับภาพเลย Spotlight Pro ประกอบด้วย 2 โหมดคือ Quick Mode และ Composition Mode โดยQuick Mode ทำงานโดยเลือกเป้าหมายก็สามารถเริ่มต้นการบินติดตามได้ ส่วนComposition Mode คือการเลือกตำแหน่งของวัตถุและตำแหน่งในการบินติดตาม เมื่อวัตถุเข้าสู่ตำแหน่งการติดตามที่ตั้งไว้แล้ว จึงกดเมนูทางลัดเพื่อเริ่มต้นการติดตาม ตัวมอเตอร์กล้องสามารถเคลื่อนที่ระหว่างบันทึกภาพได้เพื่อการปรับแต่งองค์ประกอบ คุณสมบัติของ Spotlight Pro พร้อมให้ใช้งานได้ในทุกโหมด Intelligent Flight ซึ่งรวมถึงActiveTrack, TapFly, Waypoint และ Point of Interest บินกลับฐานอย่างชาญฉลาด ด้วยคุณสมบัติของระบบการบินแบบฟอร์เวิร์ดและดาวน์เวิร์ดจะช่วยให้ Inspire 2 สามารถสร้างแผนที่แบบเรียลไทม์ในระหว่างการบินได้ ในกรณีที่ระบบถ่ายทอดวิดีโอสัญญาณเกิดขาดหายและถ้ามีการเปิดฟังก์ชันการทำงานของ Smart Return Home ไว้ ตัวเครื่องจะสามารถบินกลับฐานได้โดยใช้เส้นทางเดิม และเปลี่ยนมาบินตรงมุ่งกลับฐานได้ทันทีเมื่อได้รับสัญญาณกลับคืนเหมือนเดิม และในการเดินทางกลับฐาน ตัวโดรนจะใช้กล้องหลักในการแยกแยะหลบหลีกสิ่งกีดขวางด้านหน้าได้ในระยะ 200 เมตร จึงวางใจได้ว่าจะสามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณได้อย่างฉับไวหลังจากที่สูญเสียการติดต่อไปแล้วอีกด้วย ประสิทธิภาพการบินที่เหนือกว่า ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพการบินในระดับสูง โดยสามารถบินได้ในอัตราเร็ว 58 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 94 กม.ต่อชั่วโมง และสามารถบินลงจอดได้อย่างรวดเร็วภายในระยะ 9 เมตรต่อวินาที และบินขึ้นได้ในระดับ 6 เมตรต่อวินาที ที่สำคัญยังสามารถเร่งความเร็วในการบินจากระดับ 0-50 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 80 กม.ต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียงแค่ 5 วินาที โดยสามารถบินโดยทำมุมเอียงได้สูงสุดถึง 40 องศา จึงให้ความปลอดภัยในการบินไม่พลิกคว่ำง่าย ๆ มาพร้อมด้วยแท่งการควบคุมทั้งสองแท่งที่ได้รับการปรับแต่งให้มีความไวในการบังคับใช้งานมากขึ้น และด้วยคุณสมบัติที่เหนือชั้นมากมายใน Inspire 2 นี้ ทำให้สามารถบินในสภาพแวดล้อมแบบเอกซ์ตรีมได้อย่างสบาย ซึ่งรวมถึงการบินเหนือระดับน้ำทะเลในระดับ 2500-5000 เมตรด้วย และพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำขนาดติดลบ 20 องศา โดยการใช้งานระบบทำความร้อนภายในหรือ Intelligent Flight Battery

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ