KTIS ไตรมาสแรกโตแรง กำไรพุ่ง 730% เหตุราคาน้ำตาลตลาดโลกและราคาน้ำมันหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 15, 2017 16:37 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์ KTIS เปิดผลประกอบการไตรมาสแรกปี 60 ดีขึ้นมาก ตามที่คาดไว้ มีกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท โตกว่าปี 59 ถึง 729.8%และมีรายได้รวม 3,943.8 ล้านบาท ผู้บริหารเผยเป็นผลจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ผลผลิตอ้อยที่สูงขึ้น ทั้งปริมาณ และคุณภาพ อีกทั้งราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยปีนี้สูงกว่าปีก่อน 28.4% ประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกก็สูงขึ้น ส่งผลดีต่อราคาขายเอทานอล ส่วนสายธุรกิจอื่น ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล โรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ชานอ้อย และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย 100% ก็มีแนวโน้มที่ดีเพราะมีวัตถุดิบมากกว่าปีก่อน นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2560 ของ KTIS มีรายได้รวม 3,943.8 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี2559 ซึ่งมีรายได้รวม 4,382.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 412.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 729.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 49.7 ล้านบาท "ปัจจัยหนุนสำหรับการเติบโตอย่างมากของกำไรไตรมาสแรกนี้ เกิดจากการที่ปีนี้ KTIS มีอ้อยเพิ่มมากขึ้น15.4% และจากคุณภาพที่ดีมาก ทำให้ทำน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นถึง 29.9% นอกจากนี้ ราคาน้ำตาลทราย ในตลาดโลกสูงขึ้นกว่าปีก่อนมาก โดยราคาเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ตันละ 17,158.9 บาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกัน ของปีที่แล้วซึ่งราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 13,363.1 บาท สูงกว่ากันถึง 28.4% นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็สูงขึ้นด้วย ทำให้สายธุรกิจเอทานอลมีรายได้และกำไรที่ดีขึ้น " สำหรับสายธุรกิจอื่น ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล โรงงานผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อย และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย 100% ก็มีแนวโน้มที่ดีเพราะมีวัตถุดิบมากกว่าปีก่อน จากปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า ต้องชื่นชมและขอบคุณผู้บริหารและพนักงานของกลุ่ม KTIS ทุกคน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันจนทำให้กลุ่ม KTIS ได้ปริมาณอ้อยและน้ำตาลทรายเกินกว่าความคาดหมาย และดีกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม เพราะภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งประเทศ มีปริมาณอ้อยลดลง โดยปีการผลิต 2559/60 มีอ้อยทั้งประเทศ 93 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีปริมาณอ้อยรวม 94 ล้านตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า สำหรับสายธุรกิจโรงไฟฟ้าของกลุ่ม KTIS นั้น ขณะนี้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลทั้ง 3 โรง ได้ทำการขายไฟฟ้าครบถ้วนแล้ว ทั้งโรงไฟฟ้าเกษตรไทยไบโอเพาเวอร์ (KTBP) และรวมผลไบโอเพาเวอร์ (RPBP) ที่ จ.นครสวรรค์ และโรงไฟฟ้าไทยเอกลักษณ์เพาเวอร์ (TEP) ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 โรงนี้ ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิต และอีกส่วนหนึ่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ