เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ฉลองครึ่งศตวรรษแห่งความสำเร็จของแบรนด์ที่ “ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance”

ข่าวยานยนต์ Wednesday October 4, 2017 16:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ต.ค.--เวิรฟ เอเอ็มจี (AMG) แบรนด์ที่ประกอบตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัวนี้ ถือเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะผู้ผลิตยานยนต์สมรรถนะสูง ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอันยอดเยี่ยมพร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าอภิรมย์ให้กับผู้เป็นเจ้าของ โดยในปี 2017 นี้ บริษัทฯ จะถึงโอกาสครบรอบ 50 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้สร้างและรักษาชื่อเสียงของการเป็นผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตและรถยนต์สมรรถนะสูง ที่สะท้อนจากความสำเร็จในหลากหลายด้าน ทั้งด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตและด้านการพัฒนารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองอัฟฟาวเตอร์บาค ประเทศเยอรมนี ถือเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของกลุ่มเดมเลอร์ เอจี โดยพนักงานทุกคนของบริษัทฯ ต่างยึดมั่นในหลักการเดียวกัน คือการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ "ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance" ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ต้องมีทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมเพื่อมอบความโฉบเฉี่ยวและเร้าอารมณ์ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ สรรสร้างยานยนต์สมรรถนะสูงประเภทใหม่เพื่อผู้บริโภค การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากทั่วโลก โดยรถยนต์ในตระกูล63 ยังคงเป็นรุ่นที่เป็นหัวใจของแบรนด์ และเป็นรถยนต์ตระกูลที่เป็นที่ปรารถนาของผู้คนทั่วโลกนอกจากนี้ เรายังมีผลิตภัณฑ์รถสปอร์ตตระกูล AMG GT ที่ Mercedes-AMG พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนารถสปอร์ตของแบรนด์อีกด้วย ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์ Mercedes-AMG ทางบริษัทฯ จึงได้มีการดำเนินกลยุทธ์เพื่อพัฒนาและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงตระกูลใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2016 ถือเป็นการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 10 รุ่น และนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2017ลูกค้าของ Mercedes-AMG จะมีรุ่นรถยนต์ให้เลือกสรรสูงถึง 50 รุ่นที่ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์คอมแพค ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง รถสปอร์ตรุ่นS 65 อันสง่างามที่ใช้เครื่องยนต์ 12 สูบ รถซาลูนและรถเอสเตทที่ใช้เครื่องยนต์หลากหลายแบบ หรือแม้แต่รถเอสยูวี รถยนต์สไตล์คูเป้ รถเปิดประทุนสไตล์คาบริโอเลต์และโรดสเตอร์ ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ ที่Mercedes-AMG เลือกใช้ยังเป็นเทคโนโลยีระดับชั้นนำของรถยนต์ในแต่ละประเภท อย่าง เทคโนโลยีขับเคลื่อนล้อหลัง เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ หรือระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ9 สปีด เป็นต้น โดยเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา Mercedes-AMG นำเสนอรถสปอร์ต Mercedes-AMG GT R เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรถสปอร์ตตระกูล GT อย่างเป็นทางการ พร้อมกับรถสปอร์ตโรดสเตอร์อีก 2 รุ่น คือ รุ่น GT Roadster และ GT C Roadster รวมถึงการเฉลิมฉลองปีที่ 50 ด้วยรถสปอร์ตคูเป้ในตระกูล Mercedes-AMG GT ที่เป็นรุ่นกึ่งกลางระหว่างรถสปอร์ตรุ่น Mercedes-AMG GT S และรุ่น Mercedes-AMG GT R ซึ่งเพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมและสมรรถนะที่เหนือกว่าเดิม โดยในช่วงการจำหน่ายครั้งแรก จะมีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมหรืออุปกรณ์ตกแต่งที่เฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น โดยใช้ชื่อว่า Mercedes-AMG GT C รุ่นEdition 50 ที่ผลิตขึ้นเนื่องในโอกาสปีที่ 50 ของ Mercedes-AMG อีกด้วย ซึ่งทำให้มีจำนวนรถสปอร์ตในพอร์ตโฟลิโอเป็นจำนวนรวมถึง 6 รุ่น การพัฒนารถยนต์ไฮเปอร์คาร์จากรากฐานทางเทคโนโลยีของรถฟอร์มูล่าวัน ในปี 2017 นี้ Mercedes-AMG ได้พัฒนารถยนต์กลุ่มไฮเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานบนท้องถนนทั่วไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นรถไฮเปอร์คาร์รุ่นแรกที่ผลิตเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป โดยรถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นทางด้านสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงานที่ยอดเยี่ยม ตามแนวคิดใหม่คือ "สมรรถนะแห่งอนาคตกับเอเอ็มจี – AMG Future Performance" ผ่านการใช้นวัตกรรมระบบส่งพลังที่ใช้ในรถยนต์ฟอร์มูล่าวัน แรงม้าสูงสุดกว่า 1,000 แรงม้า ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และใช้นวัตกรรมเพลาหน้าแบบระบบไฟฟ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน ผลงานที่น่าประทับใจของทีมรถแข่งที่ได้รับการสนับสนุนรถยนต์จาก Mercedes-AMG ในปี 2016 ทีมรถแข่งที่ได้รับการสนับสนุนรถยนต์จาก Mercedes-AMG ต่างทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลแข่งขันที่ผ่านมา ด้วยชัยชนะ 18 ครั้ง และการเข้าเส้นชัยในลำดับที่นักขับจะได้ขึ้นรับรางวัลบนโพเดียมอีก 32 ครั้ง จากการใช้รถยนต์ Mercedes-AMG GT3 รุ่นใหม่เป็นรถแข่ง โดยรถยนต์รุ่นนี้ สร้างสถิติใหม่ให้กับทั้งวงการมอเตอร์สปอร์ตและทีมรถแข่ง อย่างเอเอ็มจี ทีม แบล็กฟัลค่อน (AMG team BLACK FALCON) ในกลุ่ม P1, เอเอ็มจี ทีม เอชทีพี มอเตอร์สปอร์ต (AMG team Motorsport) ในกลุ่มP2 และฮาริโบ้ เรซซิ่ง ทีม-เอเอ็มจี (HARIBO Racing Team-AMG) ในกลุ่ม P3 ด้วยการสร้างสถิติทั้งการเข้าเส้นชัยโดยใช้เวลาน้อยที่สุด ตำแหน่ง โพลโพสิชั่น การใช้เวลาต่อรอบเร็วที่สุด และการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2, 3, 4 และ 6 โดยใช้เวลาน้อยที่สุด โดยทีมที่มีคะแนนรวมสูงสุด 4 อันดับแรกในการแข่งขันรถแข่งประเภท 24 ชั่วโมงรายการ ADAC Zurich ที่สนามนูร์เบิร์กริง ต่างก็ใช้รถยนต์ Mercedes-AMG GT 3 ในการแข่งขันทั้งสิ้น ผู้พัฒนาเครื่องยนต์วี 8 สำหรับรถยนต์นั่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น เมืองอัฟฟาวเตอร์บาค ประเทศเยอรมนี เป็นสถานที่ทำงานของฝ่ายบริหาร ฝ่ายจัดการทั่วไปฝ่ายขาย ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายออกแบบ และทีมงานที่มีความสำคัญมาก อย่าง ทีมช่างเทคนิคผู้มีหน้าที่ประกอบเครื่องยนต์ของรถยนต์ Mercedes-AMG ด้วยมือตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เมืองนี้คือเมืองที่เครื่องยนต์ V8 อันมีชื่อเสียงของ Mercedes-AMG ได้รับการประกอบขึ้นอย่างพิถีพิถัน ในขณะที่เครื่องยนต์แบบ 4 สูบแถวเรียงจะประกอบขึ้นที่เมืองโคลเลดา และเครื่องยนต์ V12 จะประกอบขึ้นที่เมืองมานไฮม์ โดย Mercedes-AMG ใช้ปรัชญาการผลิตเครื่องยนต์ทุกเครื่อง แบบ "1 ช่างฝีมือต่อเครื่องยนต์ 1 เครื่อง – one man, one engine" กล่าวคือ เครื่องยนต์ของรถยนต์ Mercedes-AMG แต่ละคันจะผลิตด้วยมือและใช้ช่างฝีมือเพียง1 คนเท่านั้นตลอดกระบวนการประกอบ และในขั้นตอนสุดท้าย ช่างฝีมือที่ประกอบเครื่องยนต์แต่ละเครื่องจะเซ็นชื่อของตนลงบนแผ่นโลหะที่ติดอยู่บนฝาครอบเครื่องยนต์เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพและมาตรฐาน ในปัจจุบัน Mercedes-AMG เป็นผู้พัฒนาเครื่องยนต์แบบ 8 สูบ ทั้งสำหรับรถยนต์ Mercedes-AMGและรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ V8 โดยรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ที่พัฒนาโดยช่างเทคนิคและวิศวกรของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีนั้น คือรุ่น G 500 ที่วางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน 2015 หลักชัยสำคัญของสุดยอดผู้ผลิตรถสปอร์ตและรถยนต์สมรรถนะสูง · เอเอ็มจี ก่อตั้งขึ้นที่เมืองเบิร์กชตาร์ล (Burgstall) โดยมร.ฮานส์ แวเนอร์ อาวฟเรชท์ (Hans-Werner Aufrecht) และมร.แอร์ฮาร์ด เมลเชอร์ (Erhard Melcher) ในปี 1967 ด้วยการใช้โรงโม่แป้งเก่าๆ เป็นที่ตั้งของโรงปรับแต่งรถแห่งแรก พร้อมใช้ชื่อว่า"ศูนย์วิศวกรรม ออกแบบ และทดสอบเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการแข่งขัน – engineering office and design and testing centre for the development of racing engines"โดยตัวอักษร AMG นั้นมาจากคำว่า "อาวฟเรชท์และเมลเชอร์ จากหมู่บ้านโกรซาชปาค – Aufrecht and Melcher, Großaspach" ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวนี้ เป็นสถานที่เกิดของมร.อาวฟเรชท์ · ในปี 1971 เอเอ็มจีมีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน หลังจากที่รถยนต์ AMG 300 SEL 6.8 สีแดงชนะการแข่งขันกับรถยนต์กลุ่มเดียวกันอย่างขาดลอยในรายการรถแข่งประเภท 24 ชั่วโมงที่สนามสปา-ฟรังโกชอมป์ อีกทั้งยังสามารถทำคะแนนรวมได้เป็นอันดับ 2 ด้วย · เอเอ็มจีพัฒนาจากผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตซาลูนและสปอร์ตคูเป้ หลังจากตั้งโรงงานที่เมืองอัฟฟาวเตอร์บาคในปี 1976 · มร.เมลเชอร์ พัฒนานวัตกรรมฝาครอบกระบอกสูบใหม่ ที่ทำงานสอดคล้องกับระบบวาล์วแบบ 4วาล์วต่อลูกสูบ 1 ลูก (Four-valve technology) ด้วยตนเองในปี 1984 ซึ่งเอเอ็มจีประยุกต์ใช้นวัตกรรมนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในเครื่องยนต์ V8 ความจุกระบอกสูบ 5 ลิตรของรถยนต์ Mercedes-Benz 500 SEC ความเก่งกาจของ มร.เมลเชอร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญา "1 ช่างฝีมือต่อเครื่องยนต์ 1 เครื่อง – one man, one engine" ที่ Mercedes-AMG ยึดถือจนปัจจุบัน · นวัตกรรมฝาครอบกระบอกสูบใหม่ที่มร.เมลเชอร์ คิดค้นนั้น ใช้ในรถยนต์ Mercedes-Benz S-Classรุ่น AMG และรุ่นซาลูน ตั้งแต่ปี 1986 ก่อนจะเริ่มใช้กับ E-Class Coupe รหัสตัวถัง W 124 ในปีต่อมา ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ มีกำลังถึง 265 กิโลวัตต์ (360 แรงม้า) จึงได้รับสมญาว่า "The Hammer" จากสื่อมวลชนด้านรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา · ในปี 1988 เอเอ็มจีเป็นผู้ผลิตรถยนต์ Mercedes-Benz 190 E สำหรับการแข่งขัน และยังเป็นทีมงานผู้ดูแลทีมที่ใช้รถยนต์รุ่นดังกล่าวในการแข่งขันรายการเยอรมัน ทัวริ่ง คาร์ แชมเปียนชิฟ (DTM) ด้วย · เอเอ็มจีตกลงร่วมมือกับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปี 1990 โดยเอเอ็มจีเริ่มต้นเป็นผู้พัฒนาและผลิตรถแบบสปอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งแต่ปี 1991 · รถยนต์รุ่นแรกที่เอเอ็มจีผลิตร่วมกับกลุ่มบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ (ชื่อในขณะนั้น) คือรุ่น C 36 AMGซึ่งวางจำหน่ายในปี 1993 ด้วยยอดขายสูงถึง 5,000 คันเมื่อนับถึงปี 1997 ถือเป็นรถยนต์ของ AMG ที่ขายดีที่สุดในขณะนั้น นอกจากนี้รถยนต์รุ่นนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถเซฟตี้คาร์อย่างเป็นทางการรุ่นแรกของการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวันในปี 1996 อีกด้วย · รถยนต์รุ่น C 32 AMG ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2001 นั้นใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ที่พัฒนาขึ้นใหม่ร่วมกับเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร V6 พร้อม Super charger นอกจากนี้ยังมีระบบสัมผัสอันเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจปรารถนา · รถสปอร์ต Mercedes-Benz SLS AMG ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2009 ถือเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกที่Mercedes-AMG พัฒนาขึ้นโดยไม่อาศัยทีมงานภายนอกบริษัทเลย ซึ่งรถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์พิเศษมากมาย ทั้งเสียงเครื่องยนต์อัน โดดเด่น สมรรถนะที่เหนือใคร และประตูที่ออกแบบเป็นทรงปีกนกนางนวล · ในปี 2011 เอเอ็มจีผลิตรถแข่งรุ่นแรกของบริษัทฯ คือรถยนต์รุ่น SLS AMG GT 3 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะสูงเทียบเท่ารถแข่งของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ · ในปี 2014 Mercedes-AMG ยังตอกย้ำภาพความเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ด้วยการนำเสนอรถสปอร์ตระดับเรือธงตระกูล Mercedes-AMG GT ที่พัฒนามาจากรากฐานของรถสปอร์ตตระกูล SLS ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรถสปอร์ตตระกูลที่ 2 ที่พัฒนาโดย Mercedes-AMG ทั้งหมด แนวคิดต่างๆ ทั้งการวางเครื่องยนต์ให้อยู่บริเวณตอนกลางของตัวรถ (mid-engine concept) เพลาส่งกำลังแบบใหม่ รวมทั้งโครงสร้างตัวถังที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักนั้นเป็นผลจากความตั้งใจของทีมวิศวกรที่ต้องการขับ เน้นประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจที่สุด · Mercedes-AMG จัดจำหน่ายรถยนต์ได้กว่า 70,000 คันในปี 2015 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ให้กว้างขึ้น ด้วยการนำเสนอคอมแพคสมรรถนะสูงตระกูล 43 รวมถึงรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น AMG ทั้งในตระกูล C-Class, เอสยูวี และคอมแพค · Mercedes-AMG ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ในปี 2017 ด้วยสถิติยอดขายเกือบ 100,000 คัน ในปีก่อนหน้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ