กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ร่วมบูรณาการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น เตรียมลงพื้นที่หลังปีใหม่ เจรจาหน่วยงานระดับจังหวัด ส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน พร้อมยืนยันเร่งเดินหน้า 6 มาตรการแก้ราคายางอย่างจริงจัง

ข่าวทั่วไป Thursday December 21, 2017 17:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในวันนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของกระทรวงเกษตรฯ ในการร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ "การจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค" ณ กระทรวงพาณิชย์ ในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค. 60) โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งดูแลงานด้านการผลิตและกระทรวงพาณิชย์ซึ่งดูแลงานด้านการตลาด ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยจะหารือแนวทางในการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก การบริหารจัดการสินค้าเกษตร การส่งเสริม SMEs ไปสู่ New Economy ส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตร และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ในระดับภูมิภาคและหน่วยงานในอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่มกราคม 2561 เป็นต้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนงานของกระทรวงเกษตรฯ ในระดับพื้นที่ และบูรณาการงานร่วมกับหอการค้า สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ฯลฯ ในการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตร รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป ด้านความก้าวหน้ามาตรการแก้ไขปัญหายางพารานั้น เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบ 6 โครงการ เพื่อแก้ปัญหายางพาราทั้งระบบ ตามแนวนโยบายดูดซับปริมาณยาง เพิ่มปริมาณการใช้ และลดปริมาณผลผลิต เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาและความยั่งยืนในการประกอบอาชีพการทำสวนยาง ประกอบด้วย 1) โครงการชดเชยดอกเบี้ย 3% เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง)เพื่อใช้ในการเก็บรวมรวมยาง ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อดูดซับปริมาณยางออกจากระบบประมาณร้อยละ 11 ของผลผลิตยางแห้ง 350,000 ตันจากผลผลิตทั้งปี โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี (ไม่เกิน 600 ล้านบาท) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนธันวาคม 2562 และมีระยะเวลาการชำระเงินคืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปีนับจากวันทำสัญญาต่อปี 2) โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา (วงเงิน 5,000 ล้านบาท)ซึ่งรัฐบาลเห็นชอบแนวทางปฏิบัติการสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ในอัตราร้อยละ 0.49 ต่อปี โดยยอดประมาณการตลอดระยะเวลาโครงการฯ 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2558-2567) รวมเป็นเงินประมาณการทั้งสิ้น 3,868,000 บาท แบ่งเป็นกลุ่มเกษตรกร 3,564,000 บาท วิสาหกิจชุมชน จำนวน 304,000 บาท 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ย 3% เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงิน 10,000 ล้านบาท)โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเงินชดเชยค่าเบี้ยประกันแก่สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และค่าบริหารโครงการฯ 4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 15,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ภายใต้โครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบตามกรอบวงเงิน 15,000 ล้านบาท และหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเดิม ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ เพียงจำนวน 29 ราย และได้รับอนุมัติสินเชื่อเข้าร่วมโครงการฯ 16 ราย วงเงินประมาณ 8.887 พันล้านบาท ปริมาณการใช้ยางเพิ่มขึ้น 35,550 ตัน/ปี ขณะนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอีกหลายราย ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น 5) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โดยรัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยให้ กยท. รับซื้อผลผลิตยางพารา ได้แก่ ยางแผ่นดิบคุณภาพ 3 น้ำยางสด ยางก้อนถ้วย หรือยางชนิดอื่นๆ ผ่านทางสถาบันเกษตรกร และเครือข่ายตลาด ของ กยท. ทั่วประเทศ เป้าหมาย 200,000 ตัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2560 – 30 เมษายน 2561 6) โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต โดยมีเป้าในการลดปริมาณผลผลิตจากทั้งภาคเกษตรกร และหน่วยงานรัฐโดยในส่วนของเกษตรกร ได้กำหนดให้มีแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ด้วยการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้ชาวสวนยางรายละ 4,000 บาท เพื่อโค่นยางและปลูกแทนด้วยไม้ยืนต้นชนิดอื่น เช่น ไม้ผล ไม้เพื่อการแปรรูป และอื่นๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ จำนวน 2 แสนไร่ ภายในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2561 นี้ ซึ่งจะเป็นการลดพื้นที่ปลูกยางแบบถาวร สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีสวนยาง ประมาณ 1 แสนไร่ ทั้ง กยท. กรมวิชาการเกษตร และ ออป. จะร่วมกันหยุดกรีดยาง ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อลดปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดได้ไม่น้อยกว่า 6.78 พันตันในระยะเวลา 3 เดือนนี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ