ฟิทช์ให้อันดับเครดิต ‘A+(tha)’ แก่หุ้นกู้ชุดใหม่ของ บมจ ปูนซิเมนต์ไทย

ข่าวทั่วไป Thursday September 27, 2007 15:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้อันดับเครดิตแก่หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ SCC (ครั้งที่ 2/2550) ซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 1.0 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2554 ที่ระดับ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ โดยเงินที่ได้รับจากหุ้นกู้ชุดใหม่จะนำมาใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระและนำไปลงทุนในโครงการต่างๆ
อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงการที่บริษัทมีการกระจายตัวของรายได้ที่ดี ความเป็นผู้นำทางด้านส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักและการที่บริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างดีในกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและการที่บริษัทมีเป้าหมายที่จะคงอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ การที่ SCC มีความสามารถในการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในประเทศที่สูงยังเป็นปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการชำระหนี้และความคล่องตัวทางกางเงินของบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม SCC ต้องเผชิญกับส่วนต่างกำไรที่ลดลง อันเป็นผลมาจากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้นและยังมีผลกระทบจากการที่บริษัทประกอบธุรกิจหลักในอุตสาหกรรมที่มีอุปทานส่วนเกินจำนวนมากและมีการแข่งขันที่รุนแรง SCC ได้วางแผนการลงทุนระหว่างปี 2550 ถึงปี 2553 เป็นจำนวน 8.81 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินลงทุนในโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่สองและโครงการปิโตรเคมีปลายน้ำ โครงการสร้างโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ในประเทศเวียดนาม โครงการเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศของกระดาษพิมพ์เขียนและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธุรกิจปูนซีเมนต์ จากการที่บริษัทมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ สถานะทางการเงินของ SCC มีแนวโน้มที่จะลดความแข็งแกร่งลง อย่างไรก็ตาม บริษัทน่าจะยังสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Net Debt-to-EBITDAR) ให้อยู่ภายในเป้าหมายระยะยาวที่ระดับ 2.5 เท่าได้ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นของบริษัทยังรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการก่อสร้าง (Execution Risk) ในส่วนของการลงทุนใหม่
ในครึ่งปีแรกของปี 2550 SCC มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (EBITDAR) (ก่อนเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) 2.12 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากส่วนต่างกำไรที่ลดลงเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงานของกลุ่มซีเมนต์ และการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบในส่วนของธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังได้รับมีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทในส่วนของยอดขายที่เป็นการส่งออก อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าต่อยอดขาย (ก่อนเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) (EBITDAR (pre-dividend income) Margins) ลดลงมาอยู่ที่ 16% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 จากระดับเฉลี่ยที่ 18% ในปี 2549 เมื่อรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม บริษัทมี EBITDAR 2.55 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ลดลง 6.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถึงแม้ว่าจะมีผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 SCC คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยที่บริษัทคาดว่าจะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นจากส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีและส่วนต่างของราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่อวัตถุดิบที่ยังคงสูงอยู่
หนี้สินสุทธิของ SCC ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.52 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่สองของปี 2550 จาก 1.03 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2549 เนื่องจากบริษัทได้ขายเงินลงทุนในกิจการที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักบางส่วนออกไป ถึงแม้หนี้สินสุทธิของบริษัทจะลดลงค่อนข้างมาก แต่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าย้อนหลัง 12 เดือน (Net debt to last-twelve-month EBITDAR) ของบริษัทกลับลดลงเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 2.1 เท่า ณ สิ้นไตรมาสที่สองของปี 2550 จากระดับ 2.2 เท่า ณ สิ้นปี 2549 โดยเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลง เมื่อรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าย้อนหลัง 12 เดือน (Adjusted net debt to last-twelve-month EBITDAR) ของบริษัทคงเดิมอยู่ที่ระดับ 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 แผนการลงทุนที่สูงของ SCC น่าจะทำให้ระดับหนี้สินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 2.0 เท่า ถึง 2.5 เท่า ในปี 2550 ถึง 2552 ในขณะที่การเติบโตของ EBITDAR ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตน่าจะช่วยทำให้ระดับหนี้สินของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.0 เท่า ได้ภายหลังปี 2553
แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการกระจายตัวของรายได้ของบริษัท ความเป็นผู้นำในธุรกิจหลัก ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและระดับของเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมที่ดีซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาระดับของอัตราส่วนหนี้สินในระดับที่ค่อนข้างต่ำได้
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) เป็นการวัดระดับความน่าเชื่อถือในเชิงเปรียบเทียบกันระหว่างองค์กรในประเทศนั้นๆ โดยจะใช้ในประเทศที่อันดับเครดิตแบบสากลของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันดับเครดิตขององค์กรที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับองค์กรที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในตลาดในประเทศเป็นหลักและจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
ติดต่อ: วสันต์ ผลเจริญ, โสมสิริ ชฎาวัฒน์, Vincent Milton + 662 655 4755
คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของฟิทช์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฏข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ