ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ซีพีเอฟ (ประเทศไทย)” ที่ “A+” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Stab

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 11, 2018 14:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A+" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A+" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการดำเนินกิจการ และ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม และ/หรือให้กู้ยืมแก่กลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต "A+/Stable" จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของประเทศ ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการดำเนินงานของบริษัทที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินงานของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารซึ่งเป็นบริษัทแม่และการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับจากบริษัทแม่ด้วย ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต มีสถานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร บริษัทซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารโดยรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจสัตว์บกแบบครบวงจรในประเทศไทย ในปี 2560 บริษัทมีรายได้เท่ากับ 142,608 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้รวมของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร) และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเท่ากับ 7,196 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร) สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงการดำเนินงานที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับบริษัทแม่ ตลอดจนการได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากบริษัทแม่ ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารถือหุ้นเกือบทั้งหมดในบริษัท บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจึงมีส่วนในการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมากโดยการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของตนมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทรวมทั้งส่งตัวแทนมาเป็นกรรมการบริษัทด้วย บริษัทแม่ยังช่วยในเรื่องการจัดจำหน่ายสินค้าและการตลาดสำหรับสินค้าของบริษัทในตลาดส่งออก นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทแม่ในการจัดหาวัตถุดิบต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทซื้อวัตถุดิบจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารผ่านทางบริษัทย่อยรวมทั้งซื้อจากบริษัทภายนอกเครือที่ได้รับการแนะนำจากบริษัทแม่ เป็นผู้ผลิตไก่และสุกรแบบครบวงจร บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจสัตว์บกที่ครบวงจรซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหาร บริษัทมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งจากการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์ได้เอง ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนตลอดกระบวนการผลิตได้อีกด้วย เป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์สัตว์บก บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจสัตว์บกของประเทศโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจอาหารสัตว์ภายในประเทศประมาณ 1 ใน 3 และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจไก่และสุกรประมาณ 1 ใน 4 ของปริมาณที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตที่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมถึง อาหารสัตว์ ไก่ สุกร และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานของบริษัทลงได้บางส่วน ในปี 2560 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์ ไก่ สุกร และผลิตภัณฑ์อาหารคิดเป็นสัดส่วนประเภทละใกล้เคียงกันที่ระดับ 25% ของรายได้รวม มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทแม่ บริษัทจึงมุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มโดยใช้ตราสินค้า "ซีพี" สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัท กลยุทธ์ดังกล่าวช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทลงได้ นอกจากนี้ บริษัทได้พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายของตนเอง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 ช่องทางการจำหน่ายของบริษัทและบริษัท ซีพีเอฟ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยประกอบด้วย ซุ้มขาย "ไก่ย่าง 5 ดาว" จำนวน 4,740 แห่ง ร้าน "ซีพี เฟรช มาร์ท" 425 สาขา และร้าน "ซีพี คิทเช่น" และ "ซีพี ฟู้ดเวิลด์" รวมแล้วอีกประมาณ 17 สาขา มีกำไรที่อ่อนแอในช่วงวัฏจักรขาลง ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 ได้รับผลกระทบจากภาวะอุปทานส่วนเกินของสัตว์บกในประเทศ ราคาสุกรที่ลดลงอย่างมากส่งผลทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 3.3% ในปี 2560 จาก 7% ในปี 2559 ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทนั้นอยู่ที่ 7,196 ล้านบาทในปี 2560 ลดลงจากระดับ 11,178 ในปี 2559 ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาสุกรและไก่ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ก็คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาสุกรจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งปริมาณการส่งออกไก่ไปยังประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2561-2563 รายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 140,000-160,000 ล้านบาทและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6,000-12,000 ล้านบาทต่อปี ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงและกระแสเงินสดที่อ่อนแอลง ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะได้รับการเพิ่มทุนจากบริษัทแม่ก็ตาม ในปี 2560 บริษัทมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทแม่เพิ่มทุนจำนวนประมาณ 7,000 ล้านบาท ในขณะที่หนี้สินรวมของบริษัทยังคงใกล้เคียงกับระดับเดิม ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.5% ในปี 2560 โดยลดลงเล็กน้อยจาก 62.3% ในปี 2559 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 อ่อนแอลงในช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจสัตว์บก ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลงจาก 9.1 เท่าในปี 2559 มาอยู่ที่ 4.6 เท่าในปี 2560 ในอนาคตคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยบริษัทมีการวางแผนงบประมาณสำหรับการลงทุนขยายงานจำนวน 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปี จากระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณการไว้และงบลงทุนดังกล่าวทำให้คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60% ในช่วงปี 2561-2563 โดยที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับ 3-5 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน แนวโน้มอันดับเครดิตและปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจสัตว์บกแบบครบวงจรในประเทศไทยของกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร โดยที่อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารเป็นสำคัญ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดใดที่เกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CPFTH) อันดับเครดิตองค์กร: A+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: CPFTH207A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A+ CPFTH211A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,450 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+ CPFTH231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+ CPFTH237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+ CPFTH261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+ CPFTH267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+ CPFTH281A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+ CPFTH287A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+ CPFTH317A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+ หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 15 ปี A+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ