ฟิทช์ประกาศให้อันดับเครดิตแก่โครงการหุ้นกู้ MTN ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยที่ 'BBB+’

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 15, 2018 17:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศให้อันดับเครดิตแก่โครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน Medium-Term Note (MTN) มูลค่าโครงการ 1.50 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM, BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่ 'BBB+' โดยธนาคารมีวัตถุประสงค์ของการออกหุ้นกู้ภายใต้โครงการนี้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนสนับสนุนการขยายตัวของสินทรัพย์และใช้ในการดำเนินกิจการทั่วไปของธนาคาร การประกาศให้อันดับเครดิตครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากฟิทช์ได้รับเอกสารฉบับสมบูรณ์ซึ่งมีข้อมูลตรงตามที่ได้รับมาก่อนหน้า อันดับเครดิตที่ประกาศนี้เป็นอันดับเครดิตระดับเดียวกับที่ฟิทช์คาดว่าจะให้แก่โครงการหุ้นกู้ดังกล่าวตามที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ MTN อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของ EXIM ที่ 'BBB+' เนื่องจากหุ้นกู้ที่จะออกภายใต้โครงการดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของธนาคาร อันดับเครดิตของ EXIM อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทยและสะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ว่ารัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษที่นอกเหนือจากการดำเนินงานตามปรกติ (Extraordinary Support) แก่ EXIM เนื่องจาก EXIM มีสถานะเป็นธนาคารรัฐและมีบทบาทสำคัญในเชิงนโยบายต่อรัฐบาลตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งของธนาคาร รวมทั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของธนาคารและมีอำนาจในการควบคุมการบริหารงานและกำหนดกลยุทธ์ของธนาคาร ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน MTN ของ EXIM จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคาร โดยอันดับเครดิตของธนาคารจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของประเทศไทย ฟิทช์อาจทำการปรับลดอันดับเครดิตของธนาคารในกรณีที่โอกาสที่รัฐบาลจะให้การช่วยเหลือสนับสนุนแก่ธนาคารปรับตัวลดลง ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นหากรัฐบาลลดสัดส่วนการถือหุ้นลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฏหมายของธนาคาร อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ