ก.พลังงาน ประกาศปรับขึ้นราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซหุงต้ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัม

ข่าวทั่วไป Friday November 30, 2007 17:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ก.พลังงาน ก.พลังงาน ประกาศปรับขึ้นราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซหุงต้ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มเพิ่มเป็น 18.01 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 18 บาทต่อถังเป็น 270 บาทต่อถัง สำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม ชี้กองทุนน้ำมันลดภาระชดเชยเดือนละ 279 ล้านบาท และสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำมัน ระบุสาเหตุ อาจเกิดการขาดแคลนก๊าซหุงต้มในอนาคต และมีความจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาแพงมาก หลังพบยอดการใช้ทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเกิดการลักลอบส่งออก ทำให้เสียเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มั่นใจแผนการรองรับการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มรอบด้าน ให้คนไทยได้ประโยชน์สูงสุด นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (30 พย.) กระทรวงพลังงาน ได้พิจารณาปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นของก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น 1.20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์เพิ่มขึ้น 65 สตางค์ต่อลิตร และราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม จะอยู่ที่ 18.01 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาก๊าซหุงต้มถัง 15 กิโลกรัมเพิ่มขึ้น 18 บาทต่อถังเป็น 270 บาทต่อถัง (จากเดิมราคาก๊าซหุงต้มอยู่ที่ระดับ 16.81 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 252 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) เพื่อลดภาระการชดเชยเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องจ่ายชดเชยราคาก๊าซหุงต้มประมาณ 279 ล้านบาทต่อเดือนทั้งนี้ สาเหตุที่กระทรวงพลังงาน มีความจำเป็นต้องปรับราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้ เนื่องจากพบว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้นโยบายตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มมาโดยตลอด แม้จะมีการปรับขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังน้อยกว่าต้นทุนในการผลิตก๊าซ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เก็บจากน้ำมันชนิดอื่นมาจ่ายชดเชย จนมีผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ ทำให้เกิดการใช้ก๊าซหุงต้มแทน โดยในภาคขนส่ง ผู้ใช้รถยนต์ได้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซหุงต้มแทนน้ำมันเบนซิน และภาคอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนมาใช้แทนน้ำมันเตา โดยเฉพาะในภาคขนส่งนั้น พบว่าปริมาณการใช้ก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ในปี 2549 ที่ผ่านมา มีการใช้เพิ่มถึง 51.6% และในปี 2550 นี้ มีการใช้เพิ่มขึ้น 29.7% ขณะที่การผลิตก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นเพียง 0.5 % ในปี 2549 และ 6.8% ในปี 2550 ซึ่งหากปล่อยให้มีการใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซหุงต้มในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากนี้ จากราคาก๊าซหุงต้มในประเทศที่จำหน่ายต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดการลักลอบส่งออก ซึ่งทำให้สูญเสียเงินจากกองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งการใช้ก๊าซหุงต้มมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทำให้ขาดรายได้จากการส่งออกและสูญเสียโอกาสจากการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า “ราคาก๊าซหุงต้มได้ถูกชดเชย 2 ระดับ คือ การชดเชยโดยตรงจากกองทุนน้ำมัน โดยผู้ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อมาชดเชยผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำมันที่มีทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีการชดเชยโดยอ้อมจากผู้ผลิตก๊าซหุงต้ม จากการที่รัฐบาลได้กำหนดราคาก๊าซหุงต้มอยู่ในระดับไม่เกิน 320 เหรียญต่อตัน ในขณะที่ราคาตลาดโลกอยู่ในระดับประมาณ 740 เหรียญต่อตัน ทำให้เกิดส่วนต่างด้านราคา ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิต และผู้ค้าก๊าซหุงต้ม อยากส่งออกมากกว่าจำหน่ายในประเทศ โดยการปรับราคาครั้งนี้เป็นการลดภาระการชดเชยจากกองทุนน้ำมัน และได้มีการกำหนดสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้สามารถเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลกได้เล็กน้อย พร้อมกับการยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนจากการส่งออกก๊าซ หุงต้ม” นายวีระพลกล่าวดังนั้น ภาครัฐจึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับราคาเพื่อลดภาระการชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ และค่อยๆปรับราคาให้สะท้อนราคาตามต้นทุนจริงที่ควรเป็น เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือน และเกิดการใช้ก๊าซหุงต้มผิดประเภท โดยเฉพาะการใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ รวมไปถึงการดัดแปลงไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งอาจเกิดความไม่ปลอดภัยด้วย สำหรับการปรับราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อค่าก๊าซหุงต้มครัวเรือนเดือนละ 9 บาท หากใช้ก๊าซหุงต้ม 2 เดือนต่อ 1 ถังขนาด 15 กิโลกรัม มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของรถแท็กซี่เพิ่มขึ้นกะละประมาณ 24 บาท มีผลกระทบต่ออาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4 สตางค์ต่อ 1 จาน อย่างไรก็ตาม ในการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้ ภาครัฐได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือแยกเป็นกลุ่มประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ ในกลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ ปตท.จะเปลี่ยนเครื่องยนต์จากก๊าซหุงต้มเป็นก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ให้ฟรี จำนวน 50,000 คัน ภายในปี 2552 รวมทั้งให้ปตท. เพิ่มจำนวนสถานีบริการ NGV ให้ครอบคลุมพื้นที่ 4 มุมเมือง และเปิดสถานีให้ใกล้กับอู่รถแท็กซี่ เพิ่มขึ้นอีก 170 แห่ง ภายในปี 2551 และเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนก๊าซ NGV มีไม่เพียงพอ ทางปตท. จะมีแผนการติดตั้งสถานีบริการ NGV ขนาดใหญ่ (สถานีแม่) ที่มีหัวจ่าย 40 หัวจ่าย จำนวน 7 สถานี ติดตั้งตามจุดสำคัญ ๆ ต่างทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เป็นจุดจอดรถโดยสาระสำคัญ ๆ รวมทั้งการจัดสรรรถบรรทุกก๊าซอีก 300 คัน เพื่อให้เพียงพอต่อการสนับสนุนก๊าซ NGV ในสถานีบริการ ภายในไตรมาส 2 ของปี 2551 รวมทั้งจะเร่งขยายสถานีบริการตามจุดบริการก๊าซหุงต้มเดิม ให้ปรับเปลี่ยนเป็นสถานีบริการ NGV โดยปตท. จะเป็นผู้ลงทุนสถานีทั้งหมด (งบประมาณ 20 ล้านบาทต่อสถานี) เพื่อเป็นการจูงใจให้เจ้าของสถานีก๊าซหุงต้มเดิม เปลี่ยนมาให้บริการNGV โดยเบื้องต้น อาจทำควบคู่ไปกับการจำหน่ายก๊าซหุงต้มไปด้วย นอกจากนี้ จะได้เปิดสถานีบริการในพื้นที่ของหน่วยงานราชการ และเอกชนเพิ่มเติม สำหรับมาตรการช่วยเหลือในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ที่ใช้ก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง โดยกระทรวงพลังงานจะดำเนินการปรับเปลี่ยนเตาประสิทธิภาพสูง ในส่วนของเตาอบลำไย เตาเผาเซรามิก และเตาอบกุนเชียง ในวงเงินประมาณ 600 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายจะช่วยผู้ประกอบการประหยัดการใช้ก๊าซหุงต้มได้สูงถึง 30 — 60% โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่จะส่งที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่โรงงานเรื่องการจัดการพลังงาน ตลอดจนการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน

แท็ก ก.พ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ