กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--Deeristic Agency
เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง พร้อมก้าวสู่ปีที่ 30 เผยเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กร พร้อมชูวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมก่อสร้างและติดตั้งระบบประกอบอาคารในอาเซียน ชูแนวคิด Creative Technology นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมองค์กรร่วมกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เน้นการใช้เทคโนโลยีปลดล็อกศักยภาพบุคลากร
นายเสวก ศรีสุชาต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2531 เป็นการรวมตัวของวิศวกรกลุ่มเล็กๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในงานด้านต่างๆ โดยเฉพาะการติดตั้งระบบประกอบอาคาร (MEP) และงานด้านก่อสร้าง จนกระทั่งเราเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันเราก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 แล้ว ซึ่งบริษัทของเราก็ได้ให้บริการด้านวิศวกรรมก่อสร้างและติดตั้งงานระบบครบวงจร ตั้งแต่งานก่อสร้างและออกแบบทั่วไป รวมถึงจัดหาและติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบปรับอากาศ และระบบสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งในและต่างประเทศ
"เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งมุ่งมั่นในธุรกิจการให้บริการด้านงานวิศวกรรมที่เราถนัดให้ดีที่สุด 30 ปีที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ในงานก่อสร้างและออกแบบ รวมถึงงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งต่อไปเราจะขยายการบริการของเราไปยังต่างประเทศโดยเน้นการนำประสบการณ์และความสามารถไปยังประเทศอาเซียน และเขตเศรษฐกิจ EEC ด้วยศักยภาพขององค์กรที่เรามีทีมงานและพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่จะร่วมมือกันสร้างความเติบโตให้กับบริษัทต่อไปได้ยิ่งขึ้น"
สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการนำพาธุรกิจให้เติบโต คือ การบริหารงานหลังบ้าน และการพัฒนาบุคลากรของเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง ให้เท่าทันกับเทคโนโลยี และมุ่งที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมศักยภาพการทำงานของพนักงาน "ถ้าเราใช้เทคโนโลยีมาแทนที่มนุษย์ ต่อไปก็ไม่เหลือใครที่จะมาเป็นผู้นำและสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลง แม้ปัจจุบันเราจะขาดเทคโนโลยีไม่ได้ แต่เราต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็นตัวช่วยปลดล็อกศักยภาพของพนักงานมากกว่าจะเอามาแทนที่อย่างเดียว ซึ่งเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งเองก็ได้นำเอาระบบต่างๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) - Revit ซึ่งสามารถออกแบบเป็น 3D หรือ 4D มาช่วยในการทำงานเพื่อให้ความแม่นยำในการสร้างระบบจำลองของอาคาร โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยนักออกแบบสามารถวิเคราะห์ และควบคุมต้นทุนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้ทีมงานสามารถสร้าง value ในด้านการบริการอื่นๆ ได้เต็มที่"
นอกจากเรื่องของระบบการทำงานแล้ว เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งมองว่า Digital Disrupt เป็นโอกาสที่จะทำให้บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีมาเสริมสร้างศักยภาพการทำงานอื่นๆ เช่น การนำเอา Big Data มาช่วยในการทำงานเรื่องของการบริหารจัดการซัพพลายเออร์ และลอจิสติกส์ สามารถเชื่อมต่อฐานข้อมูลได้ทั่วโลก และยังเป็นการพัฒนา Supply Chain ของบริษัทให้แข็งแรง ซึ่งส่งผลต่อการลดต้นทุนของบริษัทในหลายๆ ด้าน
เพื่อผลักดันให้องค์กรเติบโตไปได้ เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งให้ความสำคัญเรื่องของ "คน" เป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งได้ให้น้ำหนักด้านการสร้าง career path ให้กับพนักงานในทุกแผนก อีกทั้งยังมุ่งสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้เพิ่มเติมเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อให้ทีมงานเท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพิ่มความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการให้ทีมงานบรรลุเป้าหมาย และให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า และคู่ค้าร่วมกัน
"เนื่องจากองค์กรของเราเป็นองค์กรที่มีพนักงานหลายเจนเนอเรชั่นทำงานร่วมกัน เราจึงมีการส่งเสริมการทำงานให้มีการประสานสอดคล้องไปด้วยกันในแต่ละทีม หรือแม้กระทั่งการสร้างสมดุลในการทำงานเป็นทีม เพราะงานวิศวกรรมนั้นต้องบริหารระหว่าง "บุ๋นและบู๊" ให้ไปด้วยกันได้ โดยทีมงานจะต้องสามารถจัดการทรัพยากรและต้นทุน และบริหารหน้าไซต์งานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทเองจะให้การสนับสนุนพนักงานให้สามารถดึงศักยภาพที่มีมาใช้ทำงาน และเราก็จะต้องมีรางวัลให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม" นายเสวกกล่าวเสริม
วาระครบรอบ 30 ปี เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่งมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์งานวิศวกรรมที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้านสู่ลูกค้า รวมทั้งการให้คุณค่ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาทุกด้านให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน