TLUXE ตั้ง “นายณสุ จันทร์สม” นั่งตำแหน่ง CEO ลุยปรับโครงสร้างบริษัทฯ-ขับเคลื่อน 3 ธุรกิจในเครือ ปั๊มรายได้โตก้าวกระโดด

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 28, 2018 10:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 ส.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ บอร์ด บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE) ไฟเขียวตั้ง "ณสุ จันทร์สม" เข้ามานั่งตำแหน่ง CEO พร้อมปรับโครงสร้างองค์กร และภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่หลากหลายในอนาคต มั่นใจภายใน 2 ปีนี้ ผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมเตรียมชงผู้ถือหุ้นอนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) 19 ก.ย. นี้ และตั้งบริษัทย่อย "P PRIME SINGAPORE" ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในเวียดนามที่จะเปิดขายในเร็วๆ นี้ นายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยง ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนดำเนินธุรกิจ ด้านการผลิตไฟฟ้า Geothermal Energy และพลังงานลม (Wind Energy) ในประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภายหลังบอร์ดมีมติให้ตนเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเข้ามาเสริมศักยภาพ และสร้างโอกาสการลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หลังจากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 กันยายนนี้ เพื่อขออนุมัติชื่อใหม่ดังกล่าว ทั้งนี้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่ายบริหาร คือ การขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีด้วยกัน 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ อาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลัก และมีการเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 32 ปี ซึ่งในปีนี้มีการปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด โดยมุ่งเน้นที่อาหารกุ้งเกรดพรีเมี่ยม ที่มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต และต้านทานโรคสูง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นชัดเจน ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายจากธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยง ในปีนี้แตะระดับ 2,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจที่ 2 คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า Geothermal และพลังงานลม (Wind Energy) ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโจทย์ ที่ได้รับจากฝ่ายบริหาร คือการดำเนินการขายไฟฟ้าในส่วนของโรงไฟฟ้า Geothermal ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 9 โครงการ และเตรียมเสนอบอร์ดเพื่ออนุมัติการลงทุนเพิ่มอีก 22 โครงการ ตามแผนการลงทุนเดิมที่วางไว้ทั้งหมด 46 โครงการให้เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมทั้งการบุ๊ครายได้จากการขายโรงไฟฟ้า Geothermal ที่ได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 15 โครงการ มูลค่า 1,400 ล้านบาท ด้านการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Wind Energy) ขนาดเล็ก 20 กิโลวัตต์ ใน Hokkaido และ Aomori ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการขยายการลงทุนตามแผนที่วางไว้ จำนวน 27 โครงการ โดยได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ Hokkaido และ Tohoku Electric ในราคา 59 เยน ต่อกิโลวัตต์ เป็นเวลา 20 ปี ในรูปแบบ FIT ปัจจุบันได้มีการดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 7 โครงการ และในส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างทยอยดำเนินการติดตั้ง ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่า เมื่อดำเนินการได้ตามแผนทั้งหมด จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป และธุรกิจที่ 3 คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่พักอาศัยประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม ในโครงการริเวอร์ไซด์ ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองริมแม่น้ำ ใจกลางเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยโครงการฯ ดังกล่าวใช้งบลงทุนเพียง 980 ล้านบาท และจะเปิดขายในปลายเดือนกันยายน 2561 นี้ ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายห้องชุดทั้งหมดได้ในเวลาที่รวดเร็วมาก และคาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปี 2562 นอกจากนี้ นายณสุ กล่าวถึงความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการริเวอร์ไซด์ ว่าล่าสุดทางบอร์ดได้มีมติการจัดตั้งบริษัทย่อยของบริษัทฯ ในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ P PRIME SINGAPORE PTE. LTD. ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 100 ในบริษัทฯ ดังกล่าว เพื่อเข้าทำธุรกรรมการลงทุนในโครงการริเวอร์ไซด์กับบริษัทย่อยของ ริช พาร์ทเนอร์ส ในประเทศสิงคโปร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว "จากนี้ต่อไป เราจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพื่อขับเคลื่อนทั้ง 3 ธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง จะเริ่มเห็นผลการดำเนินงาน Turnaround ตั้งแต่ปีนี้ และการรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานในประเทศญี่ปุ่น และธุรกิจอสังหาในเวียดนาม ในปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจากปัจจัยที่กล่าวมา จะเป็นตัวส่งเสริมให้ทั้งรายได้ และกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดดได้ใน 2 ปีนี้" นายณสุ กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE) กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทฯ มีรายได้ 541.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 452.19 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.92 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 7.96 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ขาดทุนลดลง 7.04 ล้านบาท และมีรายได้รวมในครึ่งปีแรก 976.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 869.12 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 24.42 ล้านบาท ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2561 มีรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.98 และในด้านอาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ทั้งโรงงานเพชรบุรี และโรงงานสงขลา มีปริมาณการรับจ้างผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน คิดเป็นร้อยละ 19.49 ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์เท่ากับ 496.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.75 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า Geothermal Energy ในประเทศญี่ปุ่น เต็มไตรมาสทั้ง 15 โครงการ จำนวน 21.63 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ