กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์
ร็อคเวล ออโตเมชั่น (ไทยแลนด์) ผู้นำโซลูชั่นระบบออโตเมชั่น มั่นใจแนวโน้มอุตสาหกรรมไทยพลิกโฉมสู่สมาร์ทแมนูแฟคเจอริ่ง (Smart Manufacturing) เต็มรูปแบบรับไทยแลนด์ 4.0
หลังจากรัฐบาลผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจและกิจกรรมการลงทุน อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยตื่นตัวเป็นอันมาก ทำให้ความต้องการที่จะปรับปรุงระบบการผลิตโดยใช้ระบบออโตเมชั่นและหุ่นยนต์มีมากขึ้น ปริมาณลูกค้าของร็อคเวล ออโตเมชั่นก็เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่อาคารจี ทาวเวอร์ ถนนพระราม 9 ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะให้ทุกฝ่ายและทุกแผนกมารวมกันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำงานประสานกันได้ง่ายขึ้นเพื่อสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งมีห้องสาธิตระบบเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับระบบออโตเมชั่นได้อย่างชัดเจน
มร. ปิแอร์ เทสเนอร์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค ร็อคเวล ออโตเมชั่น เซาท์อีสต์ เอเชีย เปิดเผยว่า "ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เมื่อสองปีก่อน ทำให้อุตสาหกรรมไทยเกิดความตื่นตัวเป็นอย่างมาก และต้องการปรับปรุงการผลิตด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น ตลาดระบบออโตเมชั่นของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในอัตราใกล้ร้อยละ 10 ต่อปี และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตประมาณร้อยละ 10 ต่อปี นับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เราเชื่อว่าประเทศไทยจะกลายเป็นหนึ่งในสองตลาดที่มีความสำคัญมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากสิงคโปร์"
มร. เทสเนอร์กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมไทยประมาณร้อยละ 15 นำระบบออโตเมชั่นมาใช้แล้วอย่างสมบูรณ์ ส่วนอีกร้อยละ 20 ได้นำระบบออโตเมชั่นมาใช้แล้วบางส่วน ซึ่งหมายความว่าธุรกิจนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก
ระบบอัตโนมัติหรือออโตเมชั่นนับเป็นปัจจัยสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่การเป็นสมาร์ทแมนูแฟคเจอริ่ง เพราะระบบออโตเมชั่นจะทำหน้าที่เป็นเสมือน "สมอง" ของกระบวนการผลิต โซลูชั่นระบบออโตเมชั่นจะช่วยให้ผู้ผลิตเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงาน รวมทั้งเพิ่มผลผลิตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่ ระบบเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานบางประเภทที่ใช้แรงงานมาก เสียเวลามาก ทำซ้ำๆ การเลือกและนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้จะทำให้ทั้งองค์กรถูกควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ
"การนำระบบออโตเมชั่นมาใช้ในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ปีละประมาณร้อยละ 4-5 ถ้าเราใช้ระบบออโตเมชั่นนี้ไปสัก 10 ปี แน่นอนว่าคุณจะเพิ่มประสิทธิภาพตลอดระยะเวลานั้นได้อย่างมหาศาลทีเดียว" มร. เทสเนอร์กล่าว
"ร็อคเวล ออโตเมชั่น มีโซลูชั่นสำหรับทุกๆ อุตสาหกรรม รวมทั้งองค์กรที่ใช้ระบบออโตเมชั่นอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วก็สามารถพัฒนาไปสู่สมาร์ทแมนูแฟคเจอริ่งได้ โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น IOT หรือ Big Data เป็นต้น" มร. เทสเนอร์กล่าวเสริม
นายเกรียงศักดิ์ ภาสุรกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ร็อคเวล ออโตเมชั่น (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ลูกค้าสำคัญของบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจยานยนต์ ยางรถยนต์ สินค้าอุปโภค น้ำมันและก๊าซ และอุตสาหกรรมอาหาร โดยร็อคเวลเป็นผู้พัฒนาและติดตั้งระบบออโตเมชั่นแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบ การผลิต ไปจนกระทั่งการจัดการและการควบคุมต่างๆ
"ขณะที่ระบบออโตเมชั่นจะช่วยให้ผู้ผลิตเพิ่มประสิทธิภาพและสามารถเรียกดูรายงานของกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ได้ทันที โซลูชั่นออโตเมชั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคลากรไปพร้อมกัน" นายเกรียงศักดิ์กล่าว
"เพราะในอนาคต เมื่อระบบการผลิต การทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ ถูกควบคุมด้วยระบบออโตเมชั่นแล้ว เราจะต้องการพนักงานหรือวิศวกรที่มีความสามารถ มีทักษะที่ต่างออกไป ดังนั้นองค์กรต่างๆ ควรปรับปรุปและพัฒนาทักษะพนักงานสำหรับการทำงานที่ซ้บซ้อนมากขึ้น แทนที่จะใช้คนทำงานด้านการตรวจสอบจำนวนสินค้าหรือเสียเวลานั่งทำรายงานว่าวันนี้เครื่องจักรผลิตงานได้ตามกำหนดไหม กี่ชิ้น เครื่องเสียกี่ครั้ง เราใช้ระบบออโตเมชั่นทำงานนี้แทน แล้วพัฒนาคนให้มีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อค้นหาวิธีการใหม่ๆที่จะเพิ่มผลผลิต หรือทำงานที่มีมูลค่าเพิ่มได้มากยิ่งขึ้น"
ร็อคเวล ออโตเมชั่นเอง ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาคน จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลาย เช่น เดนโซ่ ประเทศญี่ปุ่นในการถ่ายทอดความรู้ความชำนาญด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ออโตเมชั่นให้แก่นักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย โครงการเหล่านี้จะพัฒนาและสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทัศนคติ ความรู้ และศักยภาพในด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และออโตเมชั่นซึ่งจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้นในอนาคต