71% ของธุรกิจในไทย เชื่อว่าจะต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าให้ได้ภายใน 5 ปี

ข่าวเทคโนโลยี Tuesday October 2, 2018 17:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ต.ค.--เอพีพีอาร์ มีเดีย จากผลสำรวจ "ดัชนีชี้วัดการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์" พบว่ามีเพียงแค่ 7% ของธุรกิจในไทยที่เป็นผู้นำทางด้านดิจิทัล สรุปประเด็นข่าว - มีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจในประเทศไทยที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัล - 7 ใน 10 ของธุรกิจในไทยโดยประมาณ กังวลว่าจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าได้ภายในเวลา 5 ปี - 33 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจในไทยหวั่นกลัวว่าองค์กรของตนจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังภายในอีก 5 ปี - บรรดาผู้นำธุรกิจ ระบุการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Digital Privacy) และการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity) คืออุปสรรคใหญ่ที่สุดที่กีดขวางการปฏิรูปสู่ดิจิทัล มีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัล จากรายงานดัชนีชี้วัดการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ Dell Technologies Digital Transformation Index (the DT Index) ทั้งนี้ DT Index ซึ่งสำเร็จลุล่วงด้วยการประสานความร่วมมือกับอินเทล ได้จับความก้าวหน้าในการปฏิรูปสู่ดิจิทัลขององค์กรธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ พร้อมประเมินเกี่ยวกับความหวังและความกลัวของผู้นำธุรกิจที่มีต่อมุมมองในเรื่องของดิจิทัล โดยผลการศึกษาเผยว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจในไทย เชื่อว่าองค์กรของตนคงต้องพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี ในขณะที่อีก 33 เปอร์เซ็นต์หวั่นเกรงว่าตนจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง การคำนวณของ DT Index อิงตามศักยภาพขององค์กรธุรกิจที่สามารถมองเห็นได้ในประเด็นต่อไปนี้ โดยเทียบกับคุณลักษณะสำคัญของธุรกิจดิจิทัล กลยุทธ์ด้านไอทีที่มีอยู่เดิม กลยุทธ์ในการปฏิรูปคนทำงาน (workforce transformation) และแผนงานด้านการลงทุน ในระยะเวลา 2 ปี หลังจากที่เริ่มเปิดตัว DT Index ไปในปี 2016 เดลล์ เทคโนโลยีส์ และอินเทลได้ขยายขอบเขตของการวิจัยให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกว่า 2 เท่า จาก 16 ประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 42 ประเทศ พร้อมกับได้ทำการเปรียบเทียบองค์กรธุรกิจถึง 4,600 แห่ง โดยมีการแบ่งกลุ่มดังต่อไปนี้ การเปรียบเทียบเพื่อแบ่งกลุ่ม รายละเอียด การวิเคราะห์ ระดับประเทศในปี2018 (ประเทศไทย) ผู้นำด้านดิจิทัล มีการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ในหลากหลายรูปแบบ และถูกปลูกฝังอยู่ในดีเอ็นเอของธุรกิจ 7% (Digital Leaders) ผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล มีแผนงานด้านดิจิทัลที่เป็นจริงเป็นจัง มีการลงทุนและมีนวัตกรรมในองค์กร 40% (Digital Adopters) ผู้ที่กำลังประเมินดิจิทัล ตอบรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป มีการวางแผนและลงทุนสำหรับอนาคต 25% (Digital Evaluators) ผู้ตามในเรื่องดิจิทัล ลงทุนด้านดิจิทัลน้อยมาก เพิ่งเริ่มต้นวางแผนคร่าวๆ สำหรับอนาคต 23% (Digital Followers) ผู้ที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังดิจิทัล ไม่มีแผนงานด้านดิจิทัล มีการลงทุนและความริเริ่มที่จำกัดในองค์กร 5% (Digital Laggards) ตามดัชนี DT Index พบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทย ได้รับการจัดแบ่งประเภทให้อยู่ในกลุ่มของผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล (Digital Adopters) โดยบริษัทเหล่านี้ มีแผนงานและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าในองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนไปสู่การปฏิรูปองค์กร (transformation) อย่างไรก็ตาม ผลการรายงานยังเผยให้เห็นว่า เกือบ 1 ใน 4 ของบริษัทยังอยู่ใน 2 กลุ่มหลัง ซึ่งหมายความว่าบริษัทเหล่านี้ กำลังก้าวไปอย่างช้าๆ หรือไม่ก็ยังไม่มีแผนงานด้านดิจิทัลเลย อุปสรรคที่กีดขวางการปฏิรูปสู่ดิจิทัล จากการวิจัย พบว่า 96 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยในปัจจุบัน กำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางการปฏิรูปสู่ดิจิทัล อุปสรรคสูงสุด 5 อันดับที่กีดขวางการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ได้แก่ - การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ - วัฒนธรรมด้านดิจิทัลที่ยังไม่แข็งแรงพอ ขาดความสอดคล้อง และการประสานความร่วมมือภายในบริษัท - ขาดวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ด้านดิจิทัลที่สอดคล้องกัน - ขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการทำงานให้ทันต่อธุรกิจ - ขาดทักษะและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมในองค์กร อุปสรรคเหล่านี้ เป็นปัจจัยขัดขวางความพยายามในการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ตัวอย่างเช่น 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจในไทย เชื่อว่าการปฏิรูปสู่ดิจิทัลควรแพร่หลายและครอบคลุมทั่วทั้งองค์กรได้มากกว่านี้ ในขณะที่ 61 เปอร์เซ็นต์ เห็นพ้องว่าองค์กรตนควรจะปฏิรูปเองมากกว่ารอให้ถูกปฏิรูปภายใน 5 ปี "เราพูดถึงการมาอยู่ในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้วในปัจจุบัน ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป" นายอโณทัย เวทยากร รองประธาน เดลล์ อีเอ็มซี อินโดจีน กล่าว "ยุคถัดไปของดิจิทัลมาถึงแล้ว และมันกำลังเปลี่ยนวิถีในการใช้ชีวิต ในการทำงานและการทำธุรกิจ ซึ่งหมายความว่าเวลาคือสิ่งสำคัญ การปฏิรูปที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นในตอนนี้ และจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง" การเอาชนะความท้าทาย การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจกำลังเดินหน้าเพื่อที่จะก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่มาพร้อมกับการคุกคามในการที่จะถูกเอาชนะจากผู้เล่นที่ไวกว่าและมีนวัตกรรมเหนือกว่า เราเห็นเรื่องดังกล่าวได้จากประเด็นต่อไปนี้ - 69 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อช่วยเร่งสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ - 68 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจสร้างระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวไว้ในทุกอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และอัลกอริธึมทั้งหลาย - 65 เปอร์เซ็นต์ กำลังพยายามอย่างหนักในการพัฒนาทักษะรวมถึงความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมในองค์กร เช่นการสอนให้พนักงานเรียนรู้วิธีการเขียนโค้ด - 52 เปอร์เซ็นต์ แบ่งปันความรู้ในทุกฟังก์ชันงาน ด้วยการเตรียมพร้อมให้ผู้นำด้านไอที มีทักษะทางธุรกิจ และให้ผู้นำธุรกิจมีทักษะไอทีในขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ กำลังหันมาหาเทคโนโลยีเกิดใหม่และระบบรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (และสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่น) ในการปฏิรูป แผนการลงทุนที่วางไว้ภายใน 1 ถึง 3 ปีข้างหน้า - 73 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทย ตั้งใจที่จะลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ - 63 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยตั้งใจว่าจะลงทุนด้านมัลติ-คลาวด์ - 61 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยตั้งใจว่าจะลงทุนด้านการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้แนวทางมุ่งเน้นที่การประมวลผลเป็นหลัก รวมถึงศักยภาพและการดำเนินการที่เหมาะสมและคุ้มค่าในเรื่องของเวิร์กโหลด - 56 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยตั้งใจว่าจะลงทุนเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) - 55 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทยตั้งใจว่าจะลงทุนในเทคโนโลยี IoT นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจจำนวนมากกำลังวางแผนกระทั่งว่าจะทดลองใช้เทคโนโลยีที่เพิ่งเริ่มเกิด โดย 55 เปอร์เซ็นต์ กำลังจะลงทุนด้าน blockchain ในขณะที่อีก 44 เปอร์เซ็นต์ จะลงทุนในระบบที่มีกระบวนการรับรู้ได้เอง (cognitive systems) และ 40 เปอร์เซ็นต์จะลงทุนใน VR/AR "นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับธุรกิจ เรากำลังมาถึงจุดที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่เทคโนโลยี และธุรกิจ รวมถึงมนุษยชาติมาร่วมกันสร้างโลกที่เชื่อมต่อมากยิ่งขึ้น มีคุณภาพยิ่งขึ้น" นายนพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย กล่าว "อย่างไรก็ตาม องค์กรที่วางเทคโนโลยีไว้เป็นศูนย์กลาง จะได้รับคุณประโยชน์จากโมเดลธุรกิจดิจิทัล รวมถึงความสามารถในการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจัดการทุกสิ่งได้ในแบบอัตโนมัติและทำให้ลูกค้าพึงพอใจ นี่คือสาเหตุที่การปฏิรูปสู่ดิจิทัล เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง" ระเบียบวิธีวิจัย ในช่วงซัมเมอร์ปีนี้ Vanson Bourne ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยอิสระ ได้ทำการสำรวจผู้นำธุรกิจ 100 รายในประเทศไทย จากองค์กรธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เพื่อวัดสถานภาพขององค์กรใน ดัชนีการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ โดย Vanson Bourne ได้แบ่งกลุ่มองค์กรตามความมุ่งมั่นพยายามในเรื่องดิจิทัล ด้วยการประเมินในเรื่องของกลยุทธ์ด้านไอที ความริเริ่มในการปฏิรูปคนทำงาน และความสามารถที่รับรู้ได้โดยเทียบจากคุณลักษณะสำคัญที่ธุรกิจดิจิทัลต้องมี โดยผลการวิจัยทั่วโลก (จากฐานผู้เข้าร่วมสำรวจ 4,600 คนจาก 42 ประเทศ) จะออกในช่วงต้นปี 2019 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ประจำปี 2016 ได้ที่ https://www.delltechnologies.com/en-us/perspectives/digital-transformation-index.htm อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม Dell Technologies Realizing 2030 ได้ที่ www.delltechnologies.com/realizing2030 ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ทางทวิตเตอร์ @DellTech, @Dell และ @DellEMC คุณลักษณะของธุรกิจดิจิทัล **ในปี 2015 บรรดาผู้นำธุรกิจได้นิยามคุณลักษณะสำคัญด้านดิจิทัลที่องค์กรธุรกิจต้องมี เพื่อให้ประสบความสำเร็จได้ในยุคถัดไป เหล่านี้ได้แก่ - สร้างนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดความคล่องตัว - จับโอกาสใหม่ได้จากการคาดการณ์ - แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ - มอบประสบการณ์ที่โดดเด่นและเป็นส่วนตัว - พร้อมเสมอสำหรับการดำเนินงานในแบบเรียลไทม์ เดลล์ เทคโนโลยีส์ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะที่มอบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและสำคัญในการสร้างอนาคตดิจิทัลให้แก่องค์กรธุรกิจ ทั้งปฏิรูปไอที และให้การปกป้องข้อมูลที่ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญ เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าทุกขนาดองค์กรใน 180 ประเทศ - เริ่มตั้งแต่ 99 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่จัดอันดับใน Fortune 500 ไปจนถึงลูกค้ารายย่อย – ด้วยสายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดตั้งแต่เทคโนโลยีปลายทาง (Edge) สู่ส่วนกลางที่สำคัญ (Core) ตลอดจนถึงคลาวด์ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกอบด้วยแบรนด์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ เดลล์ เดลล์ อีเอ็มซี พิโวทอล อาร์เอสเอ ซิเคียวเวิร์คส์ เวอร์ทุสสตรีม และวีเอ็มแวร์ เกี่ยวกับแวนสัน บอร์น แวนสัน บอร์นเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระในการทำวิจัยด้านการตลาดสำหรับภาคเทคโนโลยี ชื่อเสียงขององค์กรมาจากการวิเคราะห์ที่มีพื้นฐานจากงานวิจัยที่แข็งแกร่ง และน่าเชื่อถือ ซึ่งมีรากฐานอยู่อยู่บนหลักการในการทำวิจัยอย่างถูกต้องแม่นยำ และความสามารถในการแสวงหาความคิดเห็นจากผู้มีอำนาจการตัดสินใจในระดับอาวุโสทั้งในฟังก์ชันการทำงานทั้งในด้านเทคนิค และธุรกิจ ในทุกภาคธุรกิจ และในทุกตลาดสำคัญต่างๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชมที่ www.vansonbourne.com.
แท็ก เดลล์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ