กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--IR PLUS
เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) หรือ NPPG มั่นใจธุรกิจอาหารเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน ไตรมาส 4 ที่มีหลายเทศกาลกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค เดินหน้าเสริมศักยภาพหวังขึ้นแท่นฟู้ดส์เซอร์วิส ล่าสุดเตรียมร่วมมือพันธมิตรเสริมบริการเดลิเวอรี่ คาดเปิดตัวในวันที่ 15 ต.ค.นี้
บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPPG เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอาหารในช่วงไตรมาส 4 เชื่อว่าจะมีการเติบโตที่ดีตามกำลังซื้อที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ของทุก ๆ ปี มีหลายเทศกาลเกิดขึ้น อาทิ เทศกาลกินเจ เทศกาลคริสมาสต์ และเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมักจะกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจอาหารมีความยืดหยุ่นสูงในแง่ของการทำการตลาดต่าง ๆ สามารถนำเสนอเมนูใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับเทศกาลได้อย่างเหมาะสมกับเวลา
"จะเห็นว่าเอ็นพีพีจีรุกธุรกิจอาหารในปีนี้อย่างมาก ล่าสุดได้ขยายไลน์ของร้าน A&W Express ภายใต้คอนเซ็ปส์ Grab & Go โดยได้เปิดให้บริการภายในพื้นที่ Metro Mall สถานีรถไฟฟ้า MRT ซึ่งจากการติดตามพฤติกรรมลูกค้า พบว่าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ในเร็ว ๆ นี้ เอ็นพีพีจี เตรียมเสริมศักยภาพด้านความเป็นผู้ให้บริการธุรกิจอาหารครบวงจร โดยร่วมมือพันธมิตรเพื่อเพิ่มบริการจัดส่งอาหารให้ถึงมือผู้บริโภค สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความต้องการอาหารถูกปาก ราคาสมเหตุสมผล และจัดส่งให้ถึงที่ เตรียมเปิดตัวพันธมิตรรายดังกล่าว 15 ต.ค. ที่จะถึงนี้"
ทั้งนี้รายได้จากธุรกิจอาหารปีนี้น่าจะขยายตัว 20% จากปีก่อนที่ทำได้ 250 ล้านบาท ตามการขยายสาขาของร้าน A&W ที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 80-90% ของธุรกิจอาหาร ซึ่งในปีนี้บริษัทคาดว่าจะขยายเพิ่มอีก 10-15 สาขา ทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์ครบวงจร (Full Restaurant) และรูปแบบบริการอาหารเร่งด่วน (Express) โดยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 45 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่อยู่ 37 สาขา โดยจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบผลิตภัณฑ์ครบวงจร มี 31 สาขา และรูปแบบบริการอาหารเร่งด่วนมี 6 สาขา นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าขยายสาขาร้าน A&W ให้ได้ 100 สาขา ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในแบรนด์ DEAN & DELUCA ผู้ให้บริการด้านอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม อยู่ระหว่างจัดทำแผนและพิจารณาทำเลที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าในปี 62 จะเริ่มลงทุนสาขาแรกได้ และใน 5 ปีจะขยายเพิ่มอีก 100 สาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 75 ล้านบาท ซึ่งมีแหล่งเงินทุนที่รองรับไว้แล้ว ทั้งจากการแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิ W3 ราว 260 ล้านบาท และกระแสเงินสดภายในบริษัท