กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--มรภ.สงขลา
มรภ.สงขลา จับมือ วช.-หน่วยงานเครือข่ายวิจัยภาคใต้ ลงนามบันทึกข้อตกลงด้านมาตรฐานห้องปฏิบัติการ เร่งพัฒนาเครื่องมือ-บุคลากร พร้อมยกระดับระบบบริหารจัดการความปลอดภัย
ผศ.ดร.นิวัต กลิ่นงาม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มรภ.สงขลา ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กับหน่วยงานเครือข่ายในภูมิภาค : ภาคใต้ ซึ่ง มรภ.สงขลา ในฐานะมหาวิทยาลัยลูกข่าย มีหน้าที่ประกาศนโยบายด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน และพัฒนาบุคลากรได้แก่วิทยากรผู้ประเมินในด้านดังกล่าว ให้ความร่วมมือดำเนินการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยแม่ข่าย (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่) และ วช. ส่งเสริมการนำมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการไปใช้อย่างเป็นระบบ ตลอดจนกำหนด/แต่งตั้งผู้ประสานงานกับ วช. ขับเคลื่อนและยกระดับความปลอดภัยห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยให้มีมาตรฐาน ครอบคลุมทั่วประเทศ เผยแพร่มาตรฐานระบบบริหารจัดการความปลอดภัยและเครื่องมือต่างๆ
ผศ.ดร.นิวัต กล่าวว่า สำหรับขอบเขตความร่วมมือของ วช. นั้น มีหน้าที่สนับสนุนด้านงบประมาณพื้นฐาน และสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยแม่ข่ายและมหาวิทยาลัยลูกข่าย ในด้านขอบเขตและเนื้อหาสาระสำคัญด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านวิทยากรในการเผยแพร่เรื่องดังกล่าว พัฒนากระบวนการ เกณฑ์/ข้อกำหนดของระบบการประเมินความปลอดภัยห้องปฏิบัติการของประเทศ จัดทำเกณฑ์/ข้อกำหนดสำหรับการยกระดับมหาวิทยาลัยลูกข่ายให้เป็นมหาวิทยาลัยแม่ข่าย พัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่มีเสถียรภาพ กำหนด/แต่งตั้งผู้ประสานงานกับมหาวิทยาลัย รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยแม่ข่ายและมหาวิทยาลัยลูกข่าย ให้เป็นไปตามเป้าหมายของ วช.
อธิการบดี มรภ.สงขลา กล่าวอีกว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ทุกฝ่ายลงนาม (ตุลาคม 2561-ตุลาคม 2563) โดยมีสถาบันลูกข่ายที่เข้าร่วมลงนามความร่วมมือ ได้แก่ มรภ.สงขลา ม.วลัยลักษณ์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ม.ฟาฏอนี ม.ทักษิณ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ มรภ.นครศรีธรรมราช มรภ.ภูเก็ต และ มรส. (มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี) อันจะก่อให้เกิดกลไกความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในส่วนของสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชนที่มีการใช้ห้องปฏิบัติการ