TTA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 กลุ่มธุรกิจชิปปิ้งโชว์ผลงานเด่น คาดความท้าทายยังมี

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 12, 2018 17:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ - TTA รายงาน EBITDA ไตรมาสที่ 3/2561 อยู่ที่ 545.0 ล้านบาท - การปรับตัวขึ้นของอัตราค่าระวางเรือเทกอง และอัตราการใช้ประโยชน์เรือวิศวกรรมใต้ทะเลที่ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 148.3 ล้านบาท - กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ มีอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3/2561 อยู่ที่ 11,529 เหรียญสหรัฐต่อวัน สูงกว่าอัตราค่าระวางเรือของตลาด - TTA มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) ระดับต่ำที่ 0.13 เท่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2561 บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เผยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3/2561 (1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2561) ด้วยผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 545.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 36 จากไตรมาสก่อน กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA อยู่ที่ 148.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 202 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 57 จากไตรมาสก่อน รายได้รวมในไตรมาสที่ 3/2561 อยู่ที่ 3,544.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน สัดส่วนรายได้ที่มาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร และกลุ่มการลงทุนคิดเป็นร้อยละ 37 ร้อยละ 27 ร้อยละ 20 และร้อยละ 16 ของรายได้รวมทั้งหมดตามลำดับ ในขณะที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 944.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน TTA ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินที่มั่นคง ด้วยเงินสดภายใต้การบริหารอยู่ในระดับสูงถึง 5,142.9 ล้านบาทและมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) ระดับต่ำที่ 0.13 เท่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA เปิดเผยว่า "ในปี 2561 ที่ผ่านมา พบว่าอุปสงค์และอุปทานของอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าแห้งเทกองมีความสมดุลในทิศทางบวก โดยในไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 242.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 226 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อีกหนึ่งข่าวดีคือการปรับตัวขึ้นของดัชนีบอลติค (BDI) ขึ้นมาอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 1,607 จุด ในไตรมาสที่ 3/2561 จาก 953 จุด ณ ต้นปี 2560 เป็นผลมาจากอัตราการเติบโตของกองเรือทั้งโลกที่จำกัด นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือของ TTA ยังมีอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยอยู่ที่ 11,529 เหรียญสหรัฐต่อวัน ซึ่งสูงกว่าอัตราตลาดของค่าระวางเรือเฉลี่ยสุทธิของเรือซุปปราแมกซ์ (Net Mkt TC Avg BSI) ที่ 10,982 เหรียญสหรัฐต่อวัน สำหรับแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือในปี 2562 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอุปสงค์และอุปทานน่าจะมีความสมดุลเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง รายได้ของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งในไตรมาสที่ 3/2561 อยู่ที่ 970.0 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากอัตราการใช้ประโยชน์เรือที่ปรับตัวสูงขึ้นและไม่มีเรือเข้าอู่แห้งเพื่อบำรุงรักษา ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ 55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2560 เป็นค่าเฉลี่ยที่ 76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 3/2561 อย่างไรก็ตาม ภาพรวมราคาน้ำมันในอนาคตยังคงมีความผันผวน แต่บริษัทฯ มีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 /2561 สูงถึง 129 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสเข้าประมูลกิจกรรมทางวิศวกรรมใต้ทะเลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลาง ในปีนี้ เกษตรกรในประเทศเวียดนามได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญตกต่ำ จึงหันมาให้ใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายมากกว่าการเพิ่มผลผลิต ทำให้ความต้องการใช้ปุ๋ยเชิงเดี่ยว (Single Fertilizer) เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA มีปริมาณการขายปุ๋ยในไตรมาสที่ 3/2561 คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 44.5 พันตัน ซึ่งร้อยละ 68 จะเป็นปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศ มากไปกว่านั้น ภาพรวมใน 9 เดือนแรกของปี 2561 ปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมดเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 144.8 พันตัน ส่วนธุรกิจพื้นที่โรงงานให้เช่ายังคงดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสที่ 3/2561 สำหรับ กลุ่มการลงทุนอื่น ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 126 สาขา ทั่วประเทศ ส่วนบริษัท สยามทาโก้ จำกัด ("STC") มีแผนจะเปิดสาขาแรกในเดือนธันวาคม ปี 2561 สำหรับธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำ TTA ได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 80.5 ของบริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ("AIM") เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ TTA มุ่งมั่นที่จะรักษาแนวโน้มเชิงบวกไว้ และคาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจหลักจะเติบโตขึ้นอีก ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 ผลการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ: รายได้ค่าระวางของกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือในไตรมาสที่ 3/2561 อยู่ที่ 1,319.7 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วน EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 399.8 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA 242.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 226 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในไตรมาสที่ 3/2561 อัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยของกลุ่มขนส่งทางเรืออยู่ที่ 11,529 เหรียญสหรัฐต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงกว่าอัตราตลาดของค่าระวางเรือเฉลี่ยสุทธิของเรือซุปปราแมกซ์ (Net Mkt TC Avg BSI) ที่ 10,982 เหรียญสหรัฐต่อวัน ส่วนอัตราค่าระวางเรือสูงสุดอยู่ที่ 19,469 เหรียญสหรัฐต่อวัน อัตราการใช้ประโยชน์ของเรือที่กลุ่มธุรกิจเป็นเจ้าของยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 100 และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เป็นเงินสดค่อนข้างคงที่อยู่ที่ 5,341 เหรียญสหรัฐต่อวัน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือเป็นเจ้าของเรือจำนวน 21 ลำ มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,285 เดทเวทตัน (DWT) และอายุเรือเฉลี่ย 11.46 ปี และไม่มีการซื้อหรือขายเรือเพิ่มเติมในไตรมาสที่ 3/2561 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีจำนวนเรือให้บริการขนส่ง รวมเฉลี่ย 30.0 ลำ ซึ่งประกอบไปด้วยเรือที่กลุ่มธุรกิจเป็นเจ้าของเอง 20.8 ลำ และเรือที่เช่ามาให้บริการอีก 9.2 ลำ ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลมาจากอุปสงค์ในตลาดที่มากขึ้น กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง: ในไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งมีรายได้ 970.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากไตรมาสก่อน ในขณะเดียวกัน อัตราการใช้ประโยชน์ของเรือเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 74 ในไตรมาสที่ 3/2561 เมื่อเทียบกับร้อยละ 34 ในไตรมาสที่ 3/2560 ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาสที่ 3/2561 ปรับกลับมาเป็นบวกที่ 81.1 ล้านบาท จากที่ติดลบ 76.2 ล้านบาท ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 181.2 ล้านบาท สำหรับธุรกิจขุดเจาะ เรือขุดเจาะ jack-up drilling rigs สเปคสูง จำนวน 3 ลำ ดำเนินงานภายใต้บริษัทร่วมแห่งหนึ่ง มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือสูงถึงร้อยละ 100 ในไตรมาสที่ 3/2561 และ เรือทั้ง 3 ลำ มีสัญญาทำงานในตะวันออกกลางจนถึงปี 2562 ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งรายงานผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 61.4 ล้านบาท และผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 36.0 ล้านบาท ขาดทุนลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2561 เท่ากับ 129 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนจะเริ่มทำงานตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2561 ถึงสิ้นปี 2562 กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร: ในไตรมาสที่ 3/2561 บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรในประเทศเวียดนาม มีรายได้จากการขาย 693.9 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ปริมาณการขายปุ๋ยในไตรมาสที่ 3/2561 คงที่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 44.5 พันตัน ส่วนปริมาณขายปุ๋ยในประเทศคิดเป็นร้อยละ 68 ของปริมาณการขายปุ๋ยทั้งหมด ซึ่งลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในไตรมาสที่ 3/2561 เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์การใช้ปุ๋ยและการแข่งขันในตลาดเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ใน 9 เดือนแรกของปี 2561 ปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมดเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 144.8 พันตัน โดยตลาดส่งออกเติบโตร้อยละ 15 เนื่องจากตลาดฟิลิปปินส์กลับมาฟื้นตัว นอกจากธุรกิจปุ๋ยเคมีแล้ว กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรยังมีพื้นที่โรงงานให้เช่า ในไตรมาสที่ 3/2561 พื้นที่บางส่วนถูกนำมาใช้จัดเก็บวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย ส่วนพื้นที่ส่วนที่เหลือถูกนำมาให้เช่าเต็มทั้งหมด รายได้จากการให้เช่าพื้นที่โรงงานและรายได้อื่นเท่ากับ 17.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยภาพรวม กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร มีกำไรสุทธิก่อนผล กำไร/(ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.5 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2561 กลุ่มการลงทุนอื่น: TTA จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และโลจิสติกส์ - ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: 1) บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด ("PHC") เป็นผู้รับสิทธิแฟรนไชส์ พิซซ่า ฮัท เพียงรายเดียวในประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 126 สาขา ทั่วประเทศ (เป็นสาขาที่เพิ่มขึ้น 5 สาขา จากไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 18 สาขา จากต้นปี 2561 ซึ่งสาขาทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นเป็นสาขาที่เปิดตามตามหัวเมืองใหญ่) 2) บริษัท สยามทาโก้ จำกัด ("STC") ได้รับสิทธิในการเข้าทำสัญญาเฟรนไชส์ของทาโก้เบลล์ (Taco Bell) ซึ่งเป็นเฟรนไชส์อาหารเม็กซิกันที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกภายใต้บริษัท ยัม แบรนด์ส อิงค์ และมีแผนจะเปิดสาขาแรกในเดือนธันวาคม ปี 2561 - ธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำ: TTA เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 80.5 ของบริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย)จำกัด ("AIM") ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการสาธารณูปโภคน้ำและพลังงานซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำที่มีอยู่เดิม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ