NIDA Poll เรื่อง ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (ครั้งที่ 5)

ข่าวทั่วไป Monday November 26, 2018 09:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--นิด้าโพล ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 5)" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20 – 22 พฤศจิกายน 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,260 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง ด้วยความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแบ่งชั้นภูมิตามภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภูมิภาคสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธี การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0 จากการสำรวจเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.67 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ เพราะ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง มีคนใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศ ขณะที่บางส่วนระบุว่า เบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองพรรคเก่า และร้อยละ 38.33 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคเก่า เพราะ มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ชอบการบริหารงานแบบเก่า ๆ บริหารงานดีอยู่แล้ว การทำงานมีระบบ เคยเห็นผลงานมาแล้ว มั่นใจในผลงาน รู้จักและคุ้นเคยกับประชาชนเป็นอย่างดี มีความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าพรรคการเมืองพรรคใหม่ ด้านบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 25.16 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย) รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) อันดับ 3 ร้อยละ 14.52 ระบุว่าเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) อันดับ 4 ร้อยละ 11.67 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 5 ร้อยละ 6.90 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรค เสรีรวมไทย) อันดับ 6 ร้อยละ 5.32 ระบุว่าเป็น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (หัวหน้าพรรคเพื่อไทย) อันดับ 7 ร้อยละ 4.29 ระบุว่าเป็น นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี) อันดับ 8 ร้อยละ 1.35 ระบุว่าเป็น หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล (หัวหน้าพรรครวมพลังประชา ชาติไทย) อันดับ 9 ร้อยละ 1.19 ระบุว่าเป็น นายอุตตม สาวนายน (หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) และอันดับ 10 ร้อยละ 1.11 ระบุว่าเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รองนายกรัฐมนตรี) เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล (10 อันดับแรก) พบว่า ส่วนใหญ่ อันดับ 1 ร้อยละ 31.75 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 19.92 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 3 ร้อยละ 16.98 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 4 ร้อยละ 15.63 ระบุว่าเป็น พรรคอนาคตใหม่ อันดับ 5 ร้อยละ 5.32 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 6 ร้อยละ 2.14 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา อันดับ 7 ร้อยละ 1.83 ระบุว่าเป็น พรรคไทยรักษาชาติ อันดับ 8 ร้อยละ 1.67 ระบุว่าเป็น พรรครวมพลังประชาชาติไทย อันดับ 9 ร้อยละ 1.35 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย และอันดับ 10 ร้อยละ 0.79 ระบุว่าเป็น พรรคพลังชาติไทย ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.21 ระบุว่า เป็นบุคคลที่มีผลงานประจักษ์ ทำประโยชน์ในพื้นที่หรือต่อประเทศไทย รองลงมา ร้อยละ 33.33 ระบุว่า ชอบพรรค/นโยบายของพรรค ที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 10.24 ระบุว่า ต้องการได้ ส.ส. หน้าใหม่ ร้อยละ 7.94 ระบุว่า ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว (เช่น บุคลิก หน้าตา ท่าทาง มีแนวคิดคล้ายตนเอง เป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นต้น) ร้อยละ 1.75 ระบุว่า ต้องการได้นายกรัฐมนตรี ตามมติของพรรคที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 1.35 ระบุว่า เป็นอดีต ส.ส. หรือ นักการเมืองในพื้นที่ หรือ เป็นญาตินักการเมืองเดิมในพื้นที่ ร้อยละ 0.63 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคที่ตนเองไม่ชอบ และร้อยละ 0.55 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.13 ระบุว่า ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน รองลงมา ร้อยละ 28.81 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ร้อยละ 9.21 ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล ร้อยละ 5.08 ระบุว่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ ร้อยละ 5.00 ระบุว่า ปัญหาการควบคุมราคาสินค้า ร้อยละ 2.62 ระบุว่า ปัญหาการว่างงานและแรงงานนอกระบบ และปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 1.11 ระบุว่า ปัญหาด้านสุขภาพการรักษาพยาบาล และการคุ้มครองความเสี่ยงของผู้บริโภค และร้อยละ 1.42 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาด้าน การคมนาคม ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย และระบบงานราชการ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.71 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่น เพราะ หลายพรรคการเมืองยังไม่พร้อม ไม่ชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะที่บางส่วนระบุว่า เลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งเลยทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 48.81 ระบุว่า เชื่อมั่น เพราะ สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้ มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันแล้วถึงกำหนดการเลือกตั้ง และเชื่อมั่นในความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล และร้อยละ 0.48 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.89 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 24.92 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.17 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 34.21 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 13.81 มีภูมิลำเนา อยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 54.76 เป็นเพศชาย ร้อยละ 45.16 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.08 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่างร้อยละ 6.98 มีอายุ 18 – 25 ปี ร้อยละ 15.00 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 22.46 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 35.96 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 18.25 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และร้อยละ 1.35 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่าง ร้อยละ 93.33 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.50 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 1.03 นับถือศาสนาคริสต์ /ฮินดู/ซิกข์/ยิว/ไม่นับถือศาสนาใด ๆ และร้อยละ 2.14 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 20.16 สถานภาพโสด ร้อยละ 73.41 สมรสแล้ว ร้อยละ 4.21 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 2.22 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส ตัวอย่าง ร้อยละ 31.51 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.14 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.25 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 26.20 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.60 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 2.30 ไม่ระบุการศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 11.35 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 15.79 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 19.61 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 19.61 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.25 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 15.32 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.54 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.16 เป็นพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 2.37 ไม่ระบุอาชีพ ตัวอย่างร้อยละ 13.33 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 27.30 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 25.64 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 11.98 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 6.03 มีรายได้เฉลี่ย ต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 7.94 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 7.78 ไม่ระบุรายได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ