เศรษฐกิจการศึกษาว่าด้วยการนำสถาบันการศึกษาเข้าตลาดหุ้น บทบาทของรัฐและบทบาทของกลไกตลาดในการจัดการการศึกษา

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 3, 2018 14:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 16.00 น. 2 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก คณะเศรษฐศาสตร์ และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้ความเห็นถึงกระแสคัดค้านและสนับสนุนการนำหุ้นของสถาบันการศึกษาเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ว่า ต้องมีการพิจารณาถึงบทบาทของกลไกตลาดและบทบาทของรัฐที่เหมาะสมในกิจการทางการศึกษาว่าควรจะเป็นอย่างไรจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมโดยรวมและสนับสนุนการระดมทุนเพื่อสนองตอบการขยายตัวของกิจการทางการศึกษาที่เป็นไปตามภาวะของตลาด การเข้าตลาดหุ้นทำให้เกิดแรงกดดันที่บริษัทหรือนิติบุคคลที่บริหารโรงเรียนนานาชาตินั้นต้องแสวงหากำไรเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นทำให้คุณภาพการศึกษาอาจด้อยคุณภาพลงหรือผิดปรัชญาและวัตถุประสงค์ในการศึกษาได้ การให้สิทธิพิเศษทางภาษีหรือมาตรการสนับสนุนต่างๆต่อสถานศึกษาเอกชนเพื่อให้มีการลงทุนทางการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจโดยรัฐไม่จำเป็นต้องลงทุนเองทั้งหมด ในหลายกรณีการลงทุนการศึกษาโดยเอกชนมีประสิทธิภาพสูงกว่าการลงทุนการศึกษาโดยรัฐ ขณะเดียวกัน เอกชนก็มีแรงจูงใจคือผลกำไรแต่ต้องไม่เป็นกำไรเกินควรและต้องถูกกำกับโดยกฎหมายและจริยธรรม กรณีการนำสถานศึกษาเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นต้องมีการจำกัดสัดส่วนของกำไรที่นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเพื่อให้มีการนำกำไรส่วนใหญ่กลับไปลงปรับปรุงพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น และ ในกรณีขายหุ้น ผู้ถือหุ้นควรต้องเสียภาษีกำไร (Capital Gains) เนื่องจากกิจการการศึกษาได้สิทธิพิเศษทางภาษีอยู่แล้ว หรือ หากมีการนำสถานศึกษาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รัฐอาจต้องทบทวนยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีของสถานศึกษาดังกล่าว ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า การนำสถาบันการศึกษาเข้าตลาดหุ้นไม่มีข้อห้ามในกฎหมายและสามารถทำได้ หากกรณีบริษัทเอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนนานาชาติประสบความสำเร็จดีและได้รับการตอบรับจากนักลงทุน อาจทำให้มี "โรงเรียน" และ "สถานศึกษา" อีกจำนวนหนึ่งเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเติมในอนาคต ส่งผลบวกต่อการพัฒนาตลาดทุนและเพิ่มทางเลือกของนักลงทุนแต่ในอีกด้านหนึ่งต้องมาพิจารณาด้วยว่า จะส่งผลกระทบต่อปรัชญาพื้นฐานของจัดการการศึกษา บทบาทของรัฐและกลไกตลาดในการจัดการการศึกษาควรจะเป็นเช่นใด จะส่งผลต่อคุณภาพทางการศึกษาอย่างไร และต้องไม่ทำให้เกิดการค้ากำไรเกินควรในกิจการการศึกษา กลายเป็นธุรกิจการศึกษา กลายเป็นเอาธุรกิจมานำคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาคนในระยะยาว ไม่เป็นผลดีต่อการสะสมทุนมนุษย์ ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะอดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการศึกษา เสนอแนะอีกว่า รัฐต้องส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้จัดการการศึกษาระดับอุดมศึกษามากขึ้น มีมาตรการช่วยเหลือสถาบันการศึกษาที่มีปัญหาโดยไม่ถูกกลุ่มทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนเข้ายึดครองกิจการเพราะจะส่งผลกระทบทางสังคมในระยะยาว สนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการเพื่อลดปัญหาอุปทานส่วนเกิน ลดการกำกับดูแลที่ไม่จำเป็น พัฒนาระบบการเงินอุดมศึกษาให้มีประสิทธิภาพ ลดการชดเชย (Subsidy) ด้านอุปทานสถานศึกษาของรัฐ เพิ่มการช่วยเหลือการเงินด้านอุปสงค์ในรูปของทุนและเงินกู้เพื่อการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาการขยายตัวของสถานการศึกษาภาครัฐที่ไม่มีคุณภาพแล้วก่อให้เกิดปัญหาการเบียดลดกิจการศึกษาภาคเอกชน (Crowding Out) ด้วยการใช้คูปองการศึกษา คนที่มีฐานะไม่ดีแต่มีศักยภาพ ก็สามารถกู้เงินมาลงทุนการศึกษาได้หรือมีระบบการให้ทุนเพิ่มขึ้นหรือมีระบบคูปองการศึกษา ตนอยากเสนอให้เพิ่มเรื่อง สวัสดิการการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ยากจนหรือการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กในครอบครัวที่ยากจนโดยให้ "แต้มต่อ" ให้กับเด็กยากจนด้วยมาตรการ CCT (Conditional Cash Transfer) เงินโอนที่มีเงื่อนไขให้เด็กได้เรียน ขณะนี้ โอกาสเรียนระดับอุดมศึกษาของเด็กยากจน น้อยมาก น้อยกว่า 5% เปรียบเทียบกับเด็กในครัวเรือนรวย 40-50% ค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 25% ผลการศึกษาวิจัยยังพบว่า การลงทุนในเด็ก Investment in Children ครัวเรือนรวยลงทุนในเด็กสูงกว่าครัวเรือนยากจน หลายเท่าตัว 5-10 เท่า ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ควรศึกษาผลของระบบการให้ทุนและการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียง ควรศึกษาความคุ้มค่าจากการลงทุนทางการศึกษาของภาครัฐโดยพิจารณาทั้งในแง่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินเทียบกับรายจ่ายของรัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณสำหรับการพัฒนาให้มุ่งสู่การพัฒนากำลังคนในด้านต่างๆ กระทรวงศึกษาธิการนั้นได้รับงบประมาณสูงสุดต่อเนื่องหลายปีแต่ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศยังมีคุณภาพไม่ดีนัก จึงต้องใช้งบประมาณมุ่งเน้นคุณภาพการศึกษา ระบบงบประมาณมุ่งสมรรถภาพ เน้นการกระจายอำนาจ มีการจัดการระบบการศึกษาแบบสหกิจศึกษา (Cooperative Education) ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างสถานการศึกษา ภาคเอกชน ภาคการผลิตมากขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ