ฟิทช์จัดอันดับเครดิตตราสารสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีการค้ำประกันของ Minor International ที่ 'BBB+’

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 7, 2018 14:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศจัดอันดับเครดิตระยะยาว (Long-term Rating) ให้แก่ตราสารค้ำประกันประเภทกึ่งหนี้กึ่งทุนที่ไม่มีกำหนดอายุ มูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ 'BBB+' อันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตที่คาดว่าจะให้ของตราสารค้ำประกันซึ่งได้ประกาศไปเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2561 โดยฟิทช์ได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายตราสารฉบับสุดท้ายที่มีการลงนาม ซึ่งมีข้อมูลตามที่ฟิทช์ได้รับมาก่อนหน้า ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต อันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน – ตราสารดังกล่าวมีอันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตสากลระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ของผู้ค้ำประกัน คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL (ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ 'BBB+' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ผ่านสาขาที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก BBL โดยภาระจากการค้ำประกันมีสถานะเท่าเทียมกันกับภาระผูกพันที่ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของ BBL การค้ำประกันเต็มจำนวนจะมีผลจนกระทั่งมีการจ่ายภาระผูกพันค้างชำระทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตราสารครบถ้วนถูกต้องเต็มจำนวน หรือจนถึงวันที่ผู้ออกตราสารสามารถเรียกคืนตราสารได้เป็นครั้งแรก (First Call Date) ในปี 2564 แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน ในกรณีที่ MINT ไม่เรียกคืนตราสารในวันที่สามารถเรียกคืนได้ในปี 2564 (Non-call Event) ผู้ค้ำประกันจำเป็นจะต้องซื้อคืนตราสารดังกล่าวทั้งหมด ในราคาที่ครอบคลุมทั้งเงินต้น, ดอกเบี้ยค้างจ่าย, ดอกเบี้ยตั้งพัก และดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยตั้งพัก นอกเหนือจากการบังคับซื้อคืนในกรณี Non-call Event หาก MINT เข้าสู่ภาวะล้มละลายก่อนที่จะถึง First Call Date BBL มีภาระผูกพันที่จะต้องซื้อคืนตราสาร ในราคาที่คำนวณบนหลักการเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น ฟิทช์มองว่า First Call Date น่าจะเป็นวันครบกำหนดไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity Date) ของตราสารนี้ จำนวนเงินที่ค้ำประกันทั้งหมดโดย BBL ถูกจำกัดไว้ไม่เกินกว่าร้อยละ 120 ของเงินต้นของตราสารที่ถูกจัดอันดับ ซึ่งน่าจะครอบคลุมเงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย, ดอกเบี้ยตั้งพัก และดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยตั้งพัก ที่น่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดของตราสารในช่วงเวลาที่มีการค้างชำระ การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป อันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันดังกล่าวสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก BBL ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของ BBL จะส่งผลเช่นเดียวกับอันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันของ MINT เนื่องจากเป็นตราสารที่ถูกค้ำประกันเต็มจำนวนโดย BBL สำหรับ BBL ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคตที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ดังนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ BBL จะได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงของระดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร โอกาสที่อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ BBL จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากอันดับเครดิตของธนาคารอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) และธนาคารยังมีสัดส่วนเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในระดับสูง ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทยน่าจะส่งผลให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ BBL ถูกปรับลดอันดับเช่นกัน การปรับตัวแย่ลงของคุณภาพสินทรัพย์และความสารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องและมากกว่าระดับที่ฟิทช์คาดการณ์ (ทั้งนี้รวมถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากของระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ปัจจัยทั้ง 2 ปรับตัวลดลงอย่างมากได้ในอนาคต) พร้อมกับการที่ธนาคารไม่สามารถรักษาความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไว้ในระดับที่เพียงพอ ในด้าน ระดับของสำรองหนี้สูญและฐานะเงินกองทุน อาจส่งผลให้ธนาคารถูกปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินได้ ฟิทช์อาจต้องทบทวนการประเมินอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำที่ 'BBB-' ของ BBL ใหม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงในความสามารถของรัฐบาลในการให้การสนับสนุนแก่ธนาคารพาณิชย์ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากการที่อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทยถูกปรับลดอันดับลง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในมุมมองของฟิทช์ต่อแนวโน้มที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ