The Water Horse: Legend of the Deep. “อภินิหารตำนานเจ้าสมุทร” (ต่อ)

ข่าวบันเทิง Friday January 18, 2008 15:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ม.ค.--วอลท์ ดิสนีย์
โลเกชันและการถ่ายทำ
ก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ทีมผู้สร้างตั้งใจไว้ว่า แม้ว่า “The Water Horse: Legend of the Deep” จะถ่ายทำที่นิวซีแลนด์เป็นส่วนใหญ่ จะต้องมีโลเกชันหนึ่งที่จะต้องถ่ายทำในสก็อตแลนด์ นั่นคือด้านนอกของบ้านที่แองกัสอาศัยอยู่กับแม่และพี่สาวของเขา ทีมงานได้ถ่ายทำที่บ้านอาร์ดคิงแลส ซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีในชนบท
“เจย์เคยไปเยี่ยมชมบ้านหลังนี้มาแล้วและเขาก็ตกหลุมรักมัน ดังนั้นมันก็เลยเป็นสถานที่แรกที่ผมไปสำรวจครับ” โทนี เบอร์โรห์ ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว “ผมเคยไปสก็อตแลนด์มาหลายครั้งแล้ว แต่พอผมไปถึงอาร์ดคิงแลส ผมก็ได้มองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเพื่อใส่มันเข้าไปในบริบทของเรื่องครับ”
“แม้ว่าจะเคยมีบ้านหลายหลังถูกสร้างขึ้นในที่ดินผืนนั้น พวกมันก็ถูกไฟไหม้ไปหมด” เบอร์โรห์กล่าวต่อ “บ้านที่ตั้งอยู่ตรงนั้นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาในปี 1910 แต่ดูมีอายุมากกว่านั้นเยอะ เพราะมันถูกออกแบบมาให้คล้ายกับคฤหาสน์ที่มีกำแพง ป้อมและหอคอย แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันก็สะท้อนถึงสไตล์สถาปัตยกรรมแบบเก่า เมื่อคุณก้าวเข้าไปในบ้านหลังนี้ มันก็จะมีภาพบ้านแบบจอร์เจียนหลังงามที่ถูกไฟไหม้ติดอยู่ตามผนังครับ”
บ้านหลังนี้มีครอบครัวหนึ่งเป็นเจ้าของมานานนับศตวรรษ นอกเหนือไปจากการดูแลทรัพย์สิน การทำไร่ การปลูกพืชและการทำนุบำรุงต้นไม้ใบหญ้าแบบดั้งเดิม บ้านหลังนี้ยังดำเนินธุรกิจอีกหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการทำบ้านเรือนกระจก การทำสวนอนุรักษ์พืช ฟาร์มหอยนางรม ร้านค้าปลีกและบาร์ออยสเตอร์ เหมืองหิน ฟาร์มแซลมอนและโรงงานเพาะเลี้ยงแซลมอน
ระหว่างที่อยู่สก็อตแลนด์ เบอร์โรห์ได้หาเวลาเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับบริเวณที่จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับส่วนที่เหลือของภาพยนตร์ในขณะที่การถ่ายทำดำเนินไปในอีกซีกโลกหนึ่ง “ผมขับรถไปล็อคเนสเพื่อเยี่ยมชมหมู่บ้านหนึ่งหรือสองแห่งเพื่อให้ได้ความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ เป็นยังไงในตอนนี้และค้นคว้าว่าชีวิตของคนสองรุ่นก่อนหน้านี้เป็นยังไงน่ะครับ” เขากล่าว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในนิวซีแลนด์เป็นส่วนใหญ่ ประเทศแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีชุมชนภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถรองรับการถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ได้ แต่มันยังมีภูมิประเทศหลากหลายที่เต็มไปด้วยโลเกชันในการถ่ายทำมากมาย ที่สำคัญ เวลลิงตันยังเป็นที่ตั้งของเวตา เวิร์คช็อปและเวตา ดิจิตอล สองบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์ที่อัดแน่นไปด้วยเอฟเฟ็กต์เรื่องนี้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง นิวซีแลนด์จึงกลายเป็นโลเกชันที่เหมาะสม
“ตอนที่ผมมาถึงนิวซีแลนด์ งานแรกของผมคือการ ‘ตามหาสก็อตแลนด์’ ครับ” เบอร์โรห์กล่าว “ผมได้ดูฟุตเตจภาพถ่ายทางอากาศและสถานที่ที่ทำให้ผมสนใจคือควีนส์ทาวน์ พอได้เดินทางไปที่นั่นด้วยเฮลิคอปเตอร์ ผมก็พบว่ามันน่าจะใช้ได้ พอผมได้เห็นเส้นทางเล็กๆ ที่ทอดยาวไปถึงข้างๆ ทะเลสาบ ผมก็รู้ว่าผมพบมันแล้ว ผมออกจากเฮลิคอปเตอร์แล้วผมก็ถูกล้อมรอบด้วยกอร์ส [พืชที่พบได้ทั่วไปในสก็อตแลนด์
] ความคิดแรกของผมก็คือ ‘ว้าว นี่แหละสก็อตแลนด์’ ครับ”
สำหรับผู้อำนวยการสร้างแบร์รีย์ เอ็ม. ออสบอร์น ผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยอำนวยการสร้างไตรภาค “Lord of the Ring” ในนิวซีแลนด์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนการคืนสู่เหย้า หนึ่งในหน้าที่ของเขาคือการหาโลเกชันที่เหมาะสมกับดินแดนใต้น้ำของสก็อตแลนด์ “เราพบโลเกชันเหมาะๆ ที่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบวาคาทิพู ซึ่งเป็นฟาร์มแกะที่มีแกะประมาณ 40,000 ตัว เราตัดสินใจถ่ายทำกันที่นั่น แต่นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายดายเลย” หนึ่งในความท้าทายนั้นคือถึงแม้ว่าเวลลิงตัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะเหนือ จะมีชุมชนภาพยนตร์ที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทะเลสาบวาคาทิพูอยู่ใกล้ควีนส์ทาวน์ ซึ่งห่างออกไป 400 ไมล์ ใจกลางเกาะใต้ “มันไม่มีทีมงานอยู่ที่ควีนส์ทาวน์เลย แม้ว่าจะมีคนมีฝีมือด้านโฆษณา ซึ่งรวมถึงจอห์น มาฮัฟฟีย์ ผู้กำกับ/ช่างกล้องฝีมือเยี่ยมที่เป็นผู้กำกับยูนิทที่สองของเราอยู่ที่นั่นบ้างก็ตาม การถ่ายทำที่นั่นหมายความว่าเราต้องนำทีมงานจากเวลลิงตันไปควีนส์ทาวน์ นอกเหนือจากนั้น ในฟาร์มแกะก็ไม่มีถนนลาดยางมะตอย มันเป็นถนนดินลูกรังล้วนๆ เราต้องซ่อมแซมถนนดินลูกรังหลายสายเพื่อที่ว่ามันจะได้รองรับรถของพวกเราได้ นอกจากนี้ เรายังต้องซ่อมสะพานที่เกือบจะพังอยู่รอมร่อ แล้วเราก็ต้องขนส่งทีมงานของเราข้ามทะเลสาบกลับไปกลับมาทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องจัดการเรื่องเวลาอย่างเหมาะสม แต่เราทุกคนก็รู้สึกว่า มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้มาในหน้าจอ มันแสดงคุณค่าของมันเองออกมาครับ”
ในการถ่ายทำวันแรก ทีมงานและนักแสดงได้รวมตัวกันที่ขอบทะเลสาบเพื่อเข้าร่วมพิธีอำนวยพรแบบเมารี ผู้สูงอายุจากเผ่าเมารีได้ประกอบพิธีกรรมและมอบก้อนหินสีเขียว ซึ่งจะปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้ผู้สวมใส่ แก่ผู้กำกับเจย์ รัสเซลและเหล่านักแสดงซึ่งได้แก่เอมิลี วัตสัน, อเล็กซ์ เอเทล, เบน แชปลินและเดวิด มอร์ริสซีย์
การถ่ายทำสามสัปดาห์แรกดำเนินไปในอีกฝั่งของทะเลสาบในควีนส์ทาวน์และต้องมีการขนส่งทีมงานและนักแสดงกว่า 200 คนไปยังกองถ่ายทางเรือ ฤดูหนาวเพิ่งจะมาเยือนควีนส์ทาวน์และภูเขาก็เริ่มถูกแต่งแต้มด้วยหิมะแรก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ทะเลสาบสงบนิ่งเกือบตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดในรอบปี การเดินทางข้ามทะเลสาบทำให้ได้เก็บภาพภูมิทัศน์รอบด้านที่น่าทึ่งในช่วงกลางวันและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับในยามค่ำคืน
“มันเป็นโลเกชันที่ทำงานยากเพราะเราต้องทำงานกันตอนกลางคืนครับ” อเล็กซ์ เอเทลเล่า “มันหนาวจริงๆ และเราก็อยู่ใกล้น้ำ เราใช้หอคอยฝนและฝนเหน็บหนาวก็เทใส่เราตลอดเวลา คนจากแผนกเสื้อผ้าเป็นมืออาชีพจริงๆ พวกเขาทำให้ผมอบอุ่นได้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ครับ”
อย่างไรก็ดี สภาพการณ์เช่นนั้นกลับช่วยส่งเสริมการแสดงได้ อย่างที่เดวิด มอร์ริสซีย์กล่าวไว้ว่า “ตัวละครอยู่ท่ามกลางพายุ และเราก็ต้องกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกนั้นด้วยน้ำฝนที่หนาวเย็นมากๆ มันเป็นเรื่องดีสำหรับนักแสดงครับ มันวิเศษสุดที่เกิดความรู้สึกว่า คุณอยู่ที่นั่นและกำลังทำอย่างนั้นจริงๆ น้ำมาเป็นระลอก คลื่นซัดสาดเข้ามาและฝนก็เย็นเฉียบ มันทำให้ผมมีอะไรในการทำงานด้วย ความอึดอัดของบรรยากาศเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ครับ”
หลังจากที่เสร็จสิ้นจากการทำงานในควีนส์ทาวน์ ทีมงานก็ถอนสมอแล้วบินไปทำงานต่อที่สโตน สตรีท สตูดิโอส์ในเวลลิงตัน การทำงานที่นั้นโดยส่วนใหญ่เป็นงานบนสเตจที่ใช้ฉากอันเหลือเชื่อที่ออกแบบโดยโทนี เบอร์โรห์ ผู้ออกแบบงานสร้าง ที่น่าประทับใจที่สุดคือการที่ทีมงานได้สร้างแทงค์ถ่ายทำเอาท์ดอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแทงค์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจุน้ำได้กว่า 4.2 ล้านลิตร “มันมีความลึกแปดฟุต และมีปริมาตรสามในสี่ของสนามฟุตบอลครับ” ออสบอร์นอธิบาย ด้วยขนาดประมาณ 70x100 เมตร ด้านทั้งสามของแทงค์นี้ถูกห้อมล้อมด้วยบลูสกรีน
ออสบอร์นเล่าว่า ทีมงานกล้อง กริปและแสงต่างก็มีส่วนร่วมในการออกแบบแทงค์นี้ “แม้ว่าเราจะอยู่ในแทงค์ แต่ด้วยความที่เราอยู่กันด้านนอก เราก็อาจจะเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายได้เพราะเราถ่ายทำกันในฤดูหนาวครับ” เขากล่าว “เราก็เลยออกแบบแทงค์นี้ภายใต้ความร่วมมือจากแผนกทุกแผนกของเรา ยกตัวอย่างเช่น เราได้ทีมงานเอฟเฟ็กต์จักรกลมาออกแบบรางสำหรับครูโซที่ก้นแทงค์ ผมอยากได้ความยืดหยุ่นมากกว่าที่พวกเขาสร้างขึ้นในตอนแรก ผมก็เลยขอให้พวกเขาติดตั้งกลไกครูโซบนเจ็ตสกี ซึ่งพวกเขาก็สามารถทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ภายในเวลาสี่วันครับ”
สำหรับอเล็กซ์ เอเทล ซีนที่ถ่ายทำในแทงค์ทำให้เขาต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ในตอนที่การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น เขาแทบจะว่ายน้ำไม่เป็นเลย เพื่อให้เขาสามารถถ่ายทำได้ด้วยตัวเอง (แทนที่จะพึ่งพาสตันท์ ดับเบิล) เอเทลก็เลยฝึกว่ายน้ำกับผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ ออจี เดวิส อยู่หลายสัปดาห์
เดวิสอธิบายว่า “ทีมงานได้สร้างกลไกลครูโซขึ้นใต้น้ำ ซึ่งทำให้อเล็กซ์ต้องอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน อเล็กซ์มีช็อตใต้น้ำซัก 20 ช็อต ซึ่งแต่ละช็อต อเล็กซ์จะต้องกลั้นหายใจซัก 20 วินาที เขาจะต้องจับกลไกใต้น้ำไว้ แล้วก็คาดเข็มขัดน้ำหนักเพื่อถ่วงเขาให้อยู่ใต้น้ำ เขาถูกห้อมล้อมด้วยนักประดาน้ำและก็มีถังอากาศที่เขาจะดึงมาสูดได้ตลอดเวลา อเล็กซ์ปรับตัวได้อย่างดีและใช้เวลาเรียนรู้กับครูสอนดำน้ำของเราอยู่นานหลายชั่วโมง เขาสามารถกลั้นหายใจได้ประมาณ 45 วินาที ซึ่งน่าทึ่งมากสำหรับคนที่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ครับ”
เอเทลสนุกสนานกับการฝึกของเขา “ออจีเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ผมได้พบในหนังเรื่องนี้และเขาก็สอนอะไรต่อมิอะไรผมมากมาย ทีมงานสตันท์เป็นคนสนุกมากและพวกเขาก็เป็นมืออาชีพมากๆ ครับ เขาสอนผมเกี่ยวกับน้ำและวิธีการกลั้นหายใจเยอะมาก มันเป็นประโยชน์จริงๆ ที่ได้เรียนรู้เรื่องทั้งหมดนั้นก่อนที่เราจะลงไปในแทงค์น่ะครับ”
การออกแบบงานสร้าง
สำหรับโทนี เบอร์โรห์ ผู้ออกแบบงานสร้าง ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับผู้กำกับเจย์ รัสเซลมาแล้วใน “Tuck Everlasting” และ “Ladder 49” “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายทอดความจริงที่ว่า เราอยู่ในสก็อตแลนด์ปี 1942 ครับ” เขากล่าว “เราต้องสร้างสก็อตแลนด์ของเราขึ้นมาในนิวซีแลนด์ มันเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่โลกที่เราสร้างขึ้นจะต้องสมจริงเพื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ จะออกมาสมจริงด้วยเช่นกัน”
“ผมกับเจย์ร่วมงานกันมานานพอที่ผมจะรู้ว่า ถ้าผมให้ฉากที่สวยๆ กับเขา เขาก็จะใช้มันแน่ๆ” เบอร์โรห์กล่าว “เจย์ชอบการสร้างบรรยากาศ การใช้คุณสมบัติมหัศจรรย์ที่คุณสามารถสร้างขึ้นมาได้ในหนัง เขาชอบการบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาพและบทพูด และมันก็เป็นหน้าที่ของผมในการช่วยเขาสร้างภาพเหล่านั้นขึ้นมาครับ”
ขณะที่เขากำลังสร้างภาพภายในของคิลลิน ลอดจ์ขึ้นบนซาวน์ดสเตจ ซึ่งห่างจากสก็อตแลนด์นับพันๆ ไมล์ เบอร์โรห์ก็มีอิสระสมบูรณ์ในการออกแบบ “ผมเริ่มมองข้อมูลอ้างอิงจากหลากหลายที่ เช่นคฤหาสน์ในชนบทของอังกฤษหรือกระท่อมล่าสัตว์ขนาดใหญ่ในสก็อต” เขากล่าว “ท้ายที่สุด เราก็สร้างบ้านลูกผสมขึ้นจากภาพที่แตกต่างกันทั้งหลายเหล่านั้น ผมหยิบเตาผิงที่วิเศษสุดที่ผมได้เห็นในบ้านหลังหนึ่ง บันไดสวยๆ และรายละเอียดประตูที่น่าสนใจมาใช้ ผมอยากให้บ้านหลังนี้ดูมีประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่ผมก็ต้องทำให้ด้านในดูสอดคล้องกับด้านนอกด้วย ผมรู้ว่าบ้านที่เรามีอยู่ไม่ได้เก่าขนาดนั้น ผมก็เลยสร้างบ้านทรงวิคตอเรียนที่ย้อนกลับไปสู่สมัยเอลิซาเบเธียนและจาค็อบเบียน เพิ่มเติมงานหินแบบยุคกลางเข้าไปอีกหน่อย นั่นเป็นสิ่งที่สถาปนิกสมัยวิคตอเรียนทำกันครับ พวกเขาขโมยสิ่งละอันพันละน้อยจากยุคสมัยต่างๆ แล้วเพิ่มเติมตกแต่งรายละเอียดต่างๆ เข้าไปแบบโอเวอร์ครับ
“ด้วยความที่ว่าบ้านอาร์ดคิงแลส ซึ่งเป็นบ้านจริงในสก็อตแลนด์ที่เราใช้ถ่ายภาพภายนอก มีขนาดใหญ่มาก เราก็เลยออกแบบห้องภายในให้มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน” เบอร์โรห์กล่าวเสริม “เรายังคำนึงด้วยว่าฉากภายในจะต้องรองรับการวิ่งไล่จับกันในบ้านได้ด้วย กล้องสามารถเดินทางไปในแต่ละห้อง ติดตามการไล่จับเข้าไปสู่ห้องอาหาร ที่ซึ่งทุกคนนั่งรับประทานอาหารกันอย่างเป็นทางการที่โต๊ะขนาดใหญ่”
“รายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผมครับ” เบอร์โรห์กล่าวต่อ “ด้วยความที่เราติดตามสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ถูกสุนัขไล่ตาม และมีความยาวแค่ 6-8 นิ้ว ไปรอบบ้าน กล้องจะต้องต่ำมากๆ เราจะเห็นรายละเอียดของพื้น พวกปาร์เก พื้นหินและพื้นห้องครัว พื้นผิวและเนื้อไม้ที่แตกต่างกันเป็นสิ่งสำคัญครับ”
รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่เบอร์โรห์พบว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีคอหนังน้อยคนนักที่จะเห็น คือการสร้างตราประจำตระกูล “ผมสร้างตราประจำตระกูลขึ้นมาเพราะผมอยากให้บ้านมีประวัติศาสตร์ซักหน่อยครับ” เขากล่าว “เราไม่รู้จักครอบครัวนี้เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในหนัง แต่อิทธิพลของพวกเขาก็ยังคงอยู่ ด้วยความที่บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบและทะเลสาบก็ไหลออกไปสู่ทะเล ทะเลก็เลยอยู่ในคติ และมีสิ่งมีชีวิตในทะเลอยู่ในตราประจำตระกูลด้วย ความคิดของผมก็คือบ้านหลังนี้น่าจะมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตลึกลับในท้องทะเล มันเป็นโอกาสทองที่จะใช้ภาพม้าทะเลสาบเล็กๆ น้อยๆ น่ะครับ”
ห้องเวิร์คช็อปก็เป็นฉากที่สำคัญเช่นกัน “มันเป็นโลกลับๆ ของแองกัสครับ” เบอร์โรห์กล่าว “มันเป็นเวิร์คช็อปของพ่อเขา แองกัสมีภาพของพ่อ แผนที่และปฏิทินติดไว้ที่ผนัง มันเป็นที่พักพิงของเขา เป็นโลกส่วนตัวที่เขาใช้หลบหนีความเป็นจริงครับ”
การถ่ายทำ
สำหรับโอลิเวอร์ สเตเปิลตัน ผู้กำกับภาพมือเก๋า เสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งของเรื่องคือโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเวตา ดิจิตอล “มันเป็นความแตกต่างจากงานที่ผมเคยทำมาก่อน ในแง่ที่ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับ CGI และซีเควนซ์เทคนิคมากมายครับ” เขากล่าว “ด้วยการสร้างภาพดิจิตอล คุณมีทางเลือกมากกว่าแต่ก่อน แต่ถ้าคุณไม่ระวังล่ะก็ อิสระก็จะหมายถึงการขาดวินัย คุณอาจจะคิดว่า ‘ฉันถ่ายทำยังไงก็ได้ เดี๋ยวค่อยมาแก้ทีหลังก็ได้’ ยิ่งผมรู้จักการสร้างภาพดิจิตอลมากเท่าไหร่ ผมก็คิดว่ามันเป็นจริงน้อยเท่านั้น ผมคิดว่าการรักษาองค์ประกอบให้ถูกต้องก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดครับ”
ในตอนแรก รัสเซลและสเตเปิลตันตกลงกันเรื่องลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ “ในหลายแง่มุม สไตล์ของเราค่อนข้างจะเป็นไปตามแบบฉบับครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “มันมีอะไรบางอย่างแรงกล้าในแง่ของเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้การถ่ายทำแบบคลาสสิกเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างเรื่องราวสองชั่วโมงที่น่าตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยแอ็กชันอยู่แล้วครับ
เครื่องแต่งกาย
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องราวนี้คือคุณต้องเชื่อในม้าทะเลสาบครับ” จอห์น บลูมฟิลด์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าวอธิบาย “ในการสร้างความรู้สึกแบบนั้น คุณต้องทำให้แบ็คกราวด์แน่นหนา ซึ่งนั่นก็รวมถึงเครื่องแต่งกายด้วย ทุกสิ่งที่เราสร้างต้องสมจริงจนคุณไม่สงสัยเลยแม้ซักวินาทีเดียวว่านี่เป็นโลกจริงๆ”
“เรื่องราวในปี 1942 ได้รับการบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดครับ” บลูมฟิลด์กล่าวต่อ “จริงๆ แล้ว มันเป็นปีที่ผมเกิด ผมก็เลยรู้จักมันดี หนังเรื่องนี้มีเรื่องราวเกิดในสก็อตแลนด์ มันก็เลยไม่ใช่ยุคที่มีสีสันฉูดฉาดนัก มันเป็นยุคสมัยของเสื้อผ้าแบบใช้งานได้จริง ไม่มีใครใช้เงินซื้อเสื้อผ้า ผมก็เลยไม่ได้ดูภาพวาดแฟชันจากปี 1942 ผมมองหาสิ่งต่างๆ ที่น่าจะซื้อหาได้ในปี 1935 มันเป็นแค่เรื่องของการรักษาลุคเรียบง่ายและราบเรียบนั้นน่ะครับ
“พอผมไปถึงนิวซีแลนด์ ผมก็พบแหล่งเนื้อผ้าที่ยอดเยี่ยม” บลูมฟิลด์กล่าวต่อ “สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการถักนิตติง ผมมีนักถักนิตติงฝีมือเยี่ยมหลายคนที่นี่ และแน่นอนว่าคุณภาพของขนสัตว์นิวซีแลนด์น่ะเหลือเชื่อเลย มันช่วยทำให้เสื้อผ้าดูสมจริง อย่างเช่นน้ำหนักของเนื้อผ้าที่คุณเห็นในเสื้อผ้าที่เราไม่ได้สวมใส่ในปัจจุบันนี้น่ะครับ”
บลูมฟิลด์ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่าอเล็กซ์ เอเทลจะมีความเป็นผู้ใหญ่ยังไง เขาก็ยังเป็นเด็กสมัยใหม่ “สิ่งที่ยากเกี่ยวกับเด็กผู้ชาย ซึ่งอเล็กซ์เยี่ยมทีเดียว คือการเกลี้ยกล่อมเขาว่าเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้ตลกครับ” บลูมฟิลด์กล่าว พลางอธิบายว่าเอเทลเปิดกว้างต่อเครื่องแต่งกายของตัวละครของเขาเมื่อเขาเห็นว่ามันเข้ากับยุคสมัยนั้น “เขาดึงกางเกงขึ้นมาถึงเอวอย่างเหมาะสม สวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง และรองเท้าบู๊ทกับถุงเท้าขนสัตว์คู่ใหญ่ ผมโชว์ภาพเสื้อผ้าจริงๆ ให้เขาดูแล้วก็เล่าให้เขาฟังถึงสิ่งต่างๆ ที่ผมจำได้ถึงการที่ได้สวมขนสัตว์แนบกับผิวหนังคุณ เขาเข้าถึงมันจริงๆ ครับ ซีนบนชายหาดเผยเกี่ยวกับตัวละครของเขามากมาย เขายืนอยู่ตรงนั้นโดยสวมเสื้อผ้าครบทุกชิ้น ทั้งกางเกงขาสั้น สเว็ตเตอร์ ถุงเท้าและรองเท้าบู๊ท ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ บนชายหาดเล่นกันในชุดว่ายน้ำ มันแสดงให้เห็นว่าแองกัสโดดเดี่ยวแค่ไหนครับ”
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของบลูมฟิลด์คือการจัดหาชุดให้กับกองทัพที่เข้ามายังคิลลิน ลอดจ์ “กองทัพปฏิบัติตามกฎของกองทัพ และเราก็ต้องจำลองสิ่งที่เราเห็นในภาพถ่ายและข่าวทั้งหมดครับ ผมทำอย่างดีที่สุด แต่นี่เหมือนกับระเบิดเลยครับ คุณสามารถอ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าเกี่ยวกับกฎกองทัพ แต่ไม่มีวันทำได้อย่างถูกต้องหรอก ทุกคนมีความเห็นต่างกันออกไป มีรูปถ่ายเยอะแยะก็จริง แต่รูปถ่ายก็ลวงตาบ่อยครั้ง ในตอนที่จะถูกถ่ายรูป คนก็จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด แบบที่พวกเขาจะไม่สวมใส่จริงๆ เวลาออกรบ มันเป็นเรื่องยากเสมอที่จะดึงเอาชีวิตทหารจริงๆ ออกมาเพื่อให้ได้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงล้วนๆ น่ะครับ”
“ความสมจริงเป็นคำที่มักจะปรากฏขึ้นมาเสมอในตอนที่คุณสร้างหนังพีเรียด” รัสเซลกล่าว “ผมอยากจะทำให้แน่ใจว่า ไม่เพียงแต่ทหารจะดูเหมือนทหาร แต่ยังปฏิบัติตัวเหมือนทหารอีกด้วย หนทางเดียวที่คุณจะทำอย่างนั้นได้คือการให้คนมาฝึกกองทัพครับ เราโชคดีที่ได้ทหารในกองทัพนิวซีแลนด์ที่ชื่อเดวิด สตรองเข้ามาช่วยเรา ผมแน่ใจว่าตัวประกอบมากมายเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าพวกเขาต้องเจอกับอะไรตอนที่พวกเขาบอกว่าอยากจะเป็นตัวประกอบในหนัง พวกเขาไม่รู้หรอกว่าพวกเขาจะต้องเข้าร่วมกองทัพจริงๆ แต่เดวิดก็ให้พวกเขาเดินแถว ฝึกฝน ทำความเคารพและยิงปืนใหญ่ด้วยครับ”
เกี่ยวกับนักแสดง
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เอมิลี วัตสัน (แอนน์ แม็คมอร์โรว์) กลายเป็นนักแสดงที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว เธอกลายเป็นที่สนใจของผู้ชมทั่วโลกเป็นครั้งแรกจากการแสดงอันน่าจดจำของเธอในบทเบส ในภาพยนตร์ของลาร์ ฟอน เทรียร์เรื่อง “Breaking the Waves” ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ การแสดงอันน่าประทับใจของเธอทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ และได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและรางวัลเฟลิกซ์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนสาขานักแสดงหน้าใหม่แห่งปีในปี 1997
เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่สอง อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดและรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 1999 จากการแสดงที่ติดตรึงใจของเธอในบทแจ็คกีจากภาพยนตร์โดยอ็อคโตเบอร์ ฟิล์มส์เรื่อง “Hilary and Jackie” ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวโศกสลดของนักเล่นเซลโลคลาสสิก แจ็คเกอลีน ดู พรี กำกับโดยแอนนานด์ ทัคเกอร์
ล่าสุด วัตสันเพิ่งแสดงประกบเรเน เซลวีเกอร์ในเรื่อง “Miss Potter” และแสดงใน “Wah-Wah” ที่เขียนบทและกำกับโดยริชาร์ด อี. แกรนท์ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอยังเพิ่งแสดงภาพยนตร์เรื่อง “The Preposition” ประกบกาย เพียร์ซ, เลียม นีสันและจอห์น เฮิร์ต, “Tim Burton’s Corpse Bride” และ “Separate Lies” ที่กำกับโดยจูเลียน เฟลโลว์ส (“Gosford Park”) หลังจากนี้ เธอจะมีผลงานเรื่อง “Synecdoche, New York” ให้กับผู้กำกับ/มือเขียนบท ชาร์ลี คอฟแมน และใน “Fireflies in the Garden” ประกบจูเลีย โรเบิร์ตส์ ปัจจุบัน วัตสันกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางไลฟ์ไทม์เรื่อง “The Memory Keeper’s Daughter” ที่เธอแสดงประกบเดอร์มอต มัลโรนีย์
วัตสันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสำหรับบทแอนน์ เซลเลอร์ส ในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชมเชยเรื่อง “The Life and Death of Peter Sellers” ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ วัตสันได้แสดงภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงโรแมนติกคอเมดีออฟบีตของพอล โธมัส แอนเดอร์สันเรื่อง “Punch-Drunk Love” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับอดัม แซนด์เลอร์, “Red Dragon” พรีเควลของ “Silence of the Lambs” ที่กำกับโดยเบรท แรทเนอร์และร่วมแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, ราล์ฟ ไฟน์ และเซอร์แอนโธนี ฮ็อปกินส์, “Gosford Park” ของผู้กำกับโรเบิร์ต อัลท์แมน, “Cradle Will Rock” ของทิม ร็อบบินส์, บทตัวเอกของ “Angela’s Ashes” ของอลัน ปาร์คเกอร์ ซึ่งดัดแปลงจากอนุทินรางวัลพูลิทเซอร์ของแฟรงค์ แม็คคอร์ทและภาพยนตร์ของอลัน รูดอล์ฟเรื่อง “Trixie” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับนิค โนลเต เธอยังได้ร่วมแสดงกับจอห์น เทอร์ทูโรในภาพยนตร์เรื่อง “The Luzhin Defense” ที่กำกับโดยมาร์ลีน กอร์ริส และสร้างขึ้นจากนิยายของโนโบคอฟ ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “The Boxer” ร่วมกับแดเนียล เดย์-ลูอิส และแสดงภาพยนตร์เรื่อง “Metroland” ซึ่งสร้างขึ้นจากนิยายของจูเลียน บาร์นส์ ร่วมกับคริสเตียน เบลอีกด้วย
ด้านจอแก้ว วัตสันรับบทแม็กกี ทัลลิเวอร์ในผลงานสร้างของบีบีซี มาสเตอร์พีซ เธียเตอร์จากละครของจอร์จ เอเลียตเรื่อง "The Mill on the Floss"
วัตสันเป็นนักแสดงที่คร่ำหวอดบนเวทีละครลอนดอน ผลงานละครเวทีของเธอได้แก่ "Three Sisters," "The Children's Hour" (ที่โรงละครรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์) และ "The Lady from the Sea" ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2002 วัตสันได้แสดงละครเรื่อง "Uncle Vanya" (ในบทซอนยา) และ "Twelfth Night" (ในบทไวโอลา) ที่กำกับโดยแซม เมนเดส (“American Beauty,” “The Road to Perdition”) ผู้กำกับเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ที่โรงละครดอนมาร์ แวร์เฮาส์ เธียเตอร์ ละครชื่อดังทั้งสองเรื่องนี้ยังจัดแสดงแบบจำกัดรอบที่บรูคลิน อคาเดมี ออฟ มิวสิคในนิวยอร์ก ซิตีอีกด้วย นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมแสดงกับคณะรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีในละครหลายเรื่อง เช่น "Jovial Crew," "The Taming of the Shrew," "All's Well That Ends Well" และ "The Changeling"
วัตสันอาศัยอยู่ในลอนดอนกับแจ็ค วอเตอร์ส สามีของเธอ
อเล็กซ์ เอเทล (แองกัส แม็คมอร์โรว์) เด็กชายวัย 13 ปี มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกตอนอายุแปดขวบ ด้วยภาพยนตร์ของแดนนี บอยล์เรื่อง “Millions” เอเทลถูกค้นพบระหว่างที่มีการคัดเลือกนักแสดงรุ่นเยาว์ที่โรงเรียนของเขาในแกตลีย์, เชอเชียร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอังกฤษ
“ผมอยู่ถูกที่ถูกเวลาครับ” เอเทลเล่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นนักแสดง ผมก็เหมือนเด็กแทบทุกคนในอังกฤษที่อยากจะเป็นนักฟุตบอล แต่สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น และทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปครับ ‘Millions’ เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งสำหรับผม”
เอเทลยังได้แสดงในมินิซีรีส์ห้าตอนทางบีบีซีเรื่อง "Cranford" ซึ่งเขารับบทเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง
เบน แชปลิน (ลูอิส มอว์เบรย์) เกิดในลอนดอน เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกิลด์ฮอล สคูล ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามา หลังจากได้รับบทใน “The Remains of the Day” และละครโทรทัศน์เรื่อง “The Return of the Borrowers,” “A Few Short Journeys of the Heart” และ “Resort to Murder” แชปลินก็ได้รับเลือกให้รับบทแมทธิว มาโลนในซีรีส์อังกฤษยอดนิยมเรื่อง “Game On!” แต่เขาก็หวนคืนสู่จอเงินอีกครั้งเมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้รับบทนำประกบอูมา เธอร์แมนใน “The Truth About Cats and Dogs” ตามมาด้วยบทนำของเขาในภาพยนตร์ของแอ็กเนียสกา ฮอลแลนด์เรื่อง “Washington Square” และภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง “The Thin Red Line” เขากลับมาร่วมงานกับผู้กำกับคนเดิมอีกครั้งใน “The New World”
ด้านจอแก้ว แชปลินได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Feast of July,” “Lost Souls,” “Beautiful Girl” และ “Murder by Numbers” เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ผจญภัยของฮ่องกงเรื่อง “The Touch” ภาพยนตร์ของริชาร์ด แอร์เรื่อง “Stage Beauty” และภาพยนตร์ของมาร์ธา ไฟน์เรื่อง “Chromophobia” ล่าสุด เขาเพิ่งแสดงประกบแซลลี ฟิลด์เรื่อง “Two Weeks”
แชปลินเป็นนักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2004 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง “The Retreat from Moscow” ในอังกฤษ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากละครของเทนเนสซี วิลเลียมส์เรื่อง “The Glass Menagerie” โปรดักชันของดอนมาร์ แวร์เฮาส์ เขายังได้แสดงละครเวทีที่โรงละครแห่งชาติและเดอะ รอยัล คอร์ทในลอนดอนอีกด้วย
เดวิด มอร์ริสซีย์ (ร้อยเอก แฮมิลตัน) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงอังกฤษที่มีความสามารถมากที่สุดในหมู่นักแสดงรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยเขามีผลงานที่หลากหลายทั้งในแวดวงภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์และละครเวที
หลังจากนี้ มอร์ริสซีย์จะมีผลงานในภาพยนตร์เรื่อง “The Other Boleyn Girl” ที่สร้างขึ้นจากหนังสือขายดีโดยฟิลิปปา เกรกอรี และนำแสดงโดยนาตาลี พอร์ตแมน, สการ์เล็ตต์ โยฮันสันและอีริค บานา ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดจะลงโรงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008 เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “Sense and Sensibility” ในบทผู้พันแบรนดอน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดแพร่ภาพทางพีบีเอสในไตรมาสแรกของปี 2008
มอร์ริสซีย์ได้แสดงในละครโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมสูงและได้รับเสียงวิจารณ์ชมเชยมากที่สุดของอังกฤษหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Our Mutual Friend,” “Clocking Off,” “Holding On” (ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอาร์ทีเอสอันทรงเกียรติ), ดรามาการเมืองหกตอนทางบีบีซีเรื่อง “State of Play” (ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา) และ “The Deal” หนึ่งในดรามาที่สร้างเสียงขัดแย้งสูงสุดทางแชนแนล โฟร์ของผู้กำกับสตีเฟน เฟรียร์ส ซึ่งเขารับบทกอร์ดอน บราวน์ และทำให้เขาได้รับรางวัลอาร์ทีเอส อวอร์ด เมื่อปีที่แล้ว เดวิดแสดงใน “Viva Blackpool” รายการ 90 นาทีทางช่อง BBC1 ซึ่งออกอากาศทางบีบีซี อเมริกา ในประเทศอเมริกา ซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ล่าสุด ผู้ชมจอแก้วได้เห็นเขาแสดงใน “Meadowlands” ซีรีส์เจ็ดตอนทางโชว์ไทม์ ดรามาสะเทือนใจเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ระหว่างที่พวกเขาเข้าสู่โปรแกรมคุ้มครองพยาน และสำรวจธรรมชาติแท้จริงของเอกลักษณ์
ผลงานละครโทรทัศน์และละครเวทีของเขาทำให้เขาได้รับความสนใจจากโลกภาพยนตร์และเขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์หลากหลายแนว เช่น “Hilary & Jackie,” “Some Voices,” “Born Romantic,” “Captain Correlli’s Mandolin,” “Derailed” ของมิราแมกซ์, “Stoned” ของสตีเฟน วูลลีย์, “Basic Instinct 2” ของผู้กำกับไมเคิล เคตัน-โจนส์และล่าสุด “The Reaping”
นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว มอร์ริสซีย์ยังก่อตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ ทูเบเดล ฟิล์มส์ เขาได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นและโปรเจ็กต์โทรทัศน์หลายงานในอังกฤษผ่านทางบริษัทนี้ ล่าสุด เขาเพิ่งกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก “The Pool” ซึ่งมีเรื่องราวเกิดในเมืองลิเวอร์พูล บ้านเกิดของเขา
ไบรอัน ค็อกซ์ (ผู้บรรยาย) เป็นนักแสดงละครเวที ละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย เจ้าของผลงานภาพยนตร์กว่า 50 เรื่องผู้นี้เพิ่งร่วมแสดงในภาพยนตร์ของเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง “Zodiac,” ภาพยนตร์ของไรอัน เมอร์ฟีย์เรื่อง “Running with Scissors,” ภาพยนตร์ของวู้ดดี อัลเลนเรื่อง “Match Point,” ภาพยนตร์ของเวส คราเวนเรื่อง “Red Eye” และซีเควลแอ็กชันทริลเลอร์ฮิตเรื่อง “The Bourne Supremacy” โดยเขากลับมารับบทเดิมที่เขาเคยเล่นในบล็อกบัสเตอร์ปี 2002 เรื่อง “The Bourne Identity” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งแสดงซีซันที่สามของซีรีส์ออริจินอลทางเอชบีโอเรื่อง “Deadwood” และใช้เวลาแปดเดือนในการแสดงละครเวสต์เอนด์ของทอม สต็อปพาร์ดเรื่อง “Rock ‘n Roll" ซึ่งปัจจุบัน เขาก็กำลังรับบทเดียวกันนี้ในบรอดเวย์ ผลงานภาพยนตร์หลังจากนี้ของเขาได้แก่ “Terra” (ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2007), “The Escapist” และ “Red”
ค็อกซ์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอเอฟไอและอินดีเพนเดนท์ สปิริท อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์อินดีที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามเรื่อง “L.I.E.” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดร่วมกับทีมนักแสดงในภาพยนตร์ของสไปค์ โจนซ์เรื่อง “Adaptation” ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขาได้แก่ “Troy,” “X2,” “25th Hour,” “The Ring,” “The Rookie,” “The Affair of the Necklace,” “For Love of the Game,” “Rushmore,” “Desperate Measures,” “The Boxer,” “Kiss the Girls,” “Braveheart,” “Rob Roy,” “Hidden Agenda” และ “Nicholas and Alexandra” เขายังเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับบทด็อกเตอร์ฮันนิบาล เล็คเตอร์บนหน้าจอภาพยนตร์ในภาพยนตร์ของไมเคิล แมนน์เรื่อง “Manhunter” อีกด้วย
ด้านจอแก้ว ค็อกซ์ได้รับบทเฮอร์มันน์ กอร์ริงได้อย่างน่าขนลุกในมินิซีรีส์เรื่อง “Nuremberg” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแซ็ก อวอร์ด เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากบทดารารับเชิญของเขาในซีรีส์คอเมดีเรื่อง “Frasier” นอกเหนือจากนั้น ค็อกซ์ยังได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์ที่น่าจดจำหลายเรื่อง ทั้งในอเมริกาและอังกฤษ ได้แก่ “Blue/Orange,” “Longitude,” “Witness Against Hitler,” “Grushko,” “Sharpe’s Eagle,” “Sharpe’s Rifles,” “Six Characters in Search of an Author,” “The Cloning of Joanna May,” “The Lost Language of Cranes,” “Murder by Moonlight,” “Florence Nightingale” และ “King Lear”
ค็อกซ์เกิดในสก็อตแลนด์ เขาเข้ารับการศึกษาที่สถาบันลอนดอน อคาเดมี ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาติก อาร์ตส์ และได้แสดงละครเวทีหลายสิบเรื่องทั้งในลอนดอน นิวยอร์กและสก็อตแลนด์ ค็อกซ์ที่ได้รับรางวัลมากมายจากผลงานละครเวทีของเขา ได้รับรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดจากการแสดงของเขา “Rat in the Skull” และ “Titus Andronicus” ได้รับรางวัลบริติช เธียเตอร์ แอสโซซิเอชัน ดรามา อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง “The Taming of the Shrew” และ “Strange Interlude” รวมทั้งได้รับรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงดรามา เดสก์ และเอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิล จากละครเรื่อง “St. Nicholas”
นอกเหนือจากนั้น ค็อกซ์ได้กำกับละครเวทีเรื่อง “I Love My Life,” “Mrs. Warren’s Profession,” “The Philanderer,” “The Master Builder” และ “Richard III” เขาได้มีผลงานกำกับละครโทรทัศน์เรื่องแรกคือดรามาเกี่ยวกับคุกของเอชบีโอเรื่อง “Oz”
ค็อกซ์ เป็นนักเขียนมากความสามารถ เขาเคยเขียนหนังสือนอนฟิกชันขึ้นมาสองเล่ม ได้แก่ The Lear Diaries และ Salem to Moscow: An Actor’s Odyssey เขาได้เขียนลงเซ็กชันและการผ่อนคลายในนิวยอร์ก ไทม์ และเขียนบทความลงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ
ช่วงต้นปี 2003 คุณูปการที่ค็อกซ์มีต่อแวดวงศิลปะทำให้เขาได้รับการประทานยศ คอมมานเดอร์ ออฟ เดอะ บริติช เอ็มไพร์จากพระนางเจ้าอลิซาเบธที่สอง ในปี 2006 นิตยสารเอ็มไพร์ (อังกฤษ) ได้มอบรางวัลเอ็มไพร์ ไอคอน อวอร์ดให้แก่เขาเพื่อยกย่องผลงานความสำเร็จในสาขาภาพยนตร์ของเขา
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเจย์ รัสเซล (ผู้กำกับ) ได้แก่ “Ladder 49” ที่นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลตา และวาคิน ฟินิกซ์และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Tuck Everlasting” ที่สร้างขึ้นจากหนังสือมหัศจรรย์ที่ได้รับรางวัลโดยนาตาลี แบ็บบิทและนำแสดงโดยนักแสดงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดอย่างเซอร์ เบน คิงส์ลีย์, ซิสซี สปาเซ็คและวิลเลียม เฮิร์ต
ในปี 2000 รัสเซลได้กำกับและอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์สำหรับครอบครัวชื่อดังเรื่อง “My Dog Skip” ที่สร้างขึ้นจากอนุทินขายดีของวิลลีย์ มอร์ริส ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเควิน เบคอน, แฟรงกี มูนิซ, ลุค วิลสันและไดแอน เลนและได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงรางวัลบรอดคาสท์ ฟิล์ม คริติกส์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์สำหรับครอบครัวยอดเยี่ยมปี 2001 ด้วย
รัสเซลเกิดในลิตเติลร็อค, อาร์แคนซัส ตอนอายุ 19 ปี เขาก็ได้กำกับโฆษณาหลายชิ้นให้กับแผนกการท่องเที่ยวและอาร์แคนซัสปาร์ค ภายใต้การบริหารงานของบิล คลินตัน ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้รับรางวัลหลายตัวจากผลงานเพลงของเขา รัสเซลได้รับทุนการศึกษาด้านดนตรีให้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเมมฟิส ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาในแผนกอนุรักษ์เพลงบลูที่ได้รับรางวัลแกรมมี อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้เองที่ความรักในภาพยนตร์ของเขาเริ่มมีอิทธิพลมากกว่า รัสเซลได้เข้าศึกษาต่อด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ซึ่งเขาได้รับปริญญาโทสาขาศิลปะศาสตร์
ระหว่างที่อยู่โคลัมเบีย ภายใต้การดูแลของไมลอส ฟอร์แมนและแฟรงค์ แดเนียล ผู้ล่วงลับ รัสเซลได้รับทุนสร้างหนังจากสถาบันศิลปะวิทยาการภาพยนตร์และมูลนิธิหลุยส์ บี. เมเยอร์ จากนั้น เขาก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเวิร์คช็อปภาพยนตร์ของ.เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ เพื่อพัฒนาโปรเจ็กต์ “End of the Line” ของเขา ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์เปิดตัวที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยวิลฟอร์ด บริมลีย์, แมรี สตีนเบอร์เกนและเควิน เบคอน
จากนั้น รัสเซลก็ได้พัฒนาโปรเจ็กต์ต่างๆ ให้กับอิเมจิน เอ็นเตอร์เทนเมนต์และไทรสตาร์ พิคเจอร์ส และเริ่มให้ความสนใจกับสารคดี เขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับให้กับซีรีส์ที่ได้รับเสียงชื่นชมทางดิสคัฟเวอรี แชนแนล “Amazing America” และซีรีส์สารคดีและรายการพิเศษให้กับเอ็นบีซี, ซีบีเอส, เลิร์นนิง แชนแนล, ยูเอสเอ เน็ตเวิร์คและเครือข่ายอื่นๆ ในปี 1996 รัสเซลได้รับการทาบทามให้เขียนบท อำนวยการสร้างและกำกับมินิซีรีส์ห้าชั่วโมงเรื่อง “Great Drives” ซึ่งเกี่ยวกับทางหลวงสายสำคัญของอเมริกาให้กับพีบีเอส ระหว่างถ่ายทำ “Great Drives” นี้เองที่รัสเซลได้พบกับนักเขียนเจ้าของรางวัล วิลลีย์ มอร์ริส ผู้ล่วงลับ ผู้เล่าให้เขาฟังว่า เขากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับวัยเด็กและสุนัขตัวโปรดของเขาเรื่อง “My Dog Skip” เป็นครั้งแรก
โรเบิร์ต เนลสัน จาค็อบส์ (บทภาพยนตร์โดย) เติบโตขึ้นในโพโคโน เมาเทน ในเพนซิลเวเนีย เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล ที่ซึ่งเขาได้รับรางวัลเคอร์ติส ลิเทอรารี ไพรซ์จากนิยายขนาดสั้นของเขา ภายหลัง เขาได้รับปริญญาโทจากไอโอวา ไรเตอร์ส เวิร์คช็อป ระหว่างที่อยู่ไอโอวา เขาได้ตีพิมพ์เรื่องสั้นในนิตยสารวรรณกรรมหลายฉบับ
ความรักภาพยนตร์ของเขานำเขามาสู่แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่งานเขียนของเขาจะเริ่มขายได้ บทภาพยนตร์เรื่อง “Chocolat” ของจาค็อบส์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ส่วนบทภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ได้รับการผลิตเป็นภาพยนตร์ได้แก่ “The Shipping News,” “Dinosaur” และ “Out to Sea”
จาค็อบส์เป็นสมาชิกคนสำคัญของไรเตอร์ส โค-ออพ ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ภายใต้วอร์เนอร์ บรอส. ที่ยินยอมให้นักเขียนที่เป็นสมาชิกผลิตและมีอำนาจควบคุมเหนือบทภาพยนตร์ของตัวเอง ปัจจุบัน เขากำลังเขียนบทภาพยนตร์ให้กับโค-ออพอยู่
ดิค คิง-สมิธ (สร้างขึ้นจากหนังสือเรื่อง The Water Horse โดย) โด่งดังที่สุดในฐานะผู้เขียน Babe: The Gallant Pig ด้วยความที่เขาเป็นชาวนาในกลูเชสเตอร์เชียร์มายี่สิบปี ทำให้เขาเหมาะสมอย่างยิ่งกับหน้าที่ในการรังสรรค์เรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับสัตว์ที่ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลงใหล หนังสือเล่มแรกของคิง-สมิธได้แก่ The Fox Busters ที่ตีพิมพ์ในปี 1978 ปัจจุบันนี้ เขาเขียนหนังสือกว่าร้อยเล่มแล้ว รวมไปถึง The Water Horse ด้วย
หนังสือของเขาขายได้กว่าห้าล้านก็อปปีในอังกฤษและได้รับการแปลในสิบสองภาษา ภาพยนตร์เรื่อง “Babe” และ “Babe: Pig in the City” และภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “The Queen’s Nose” ทำให้เขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก อัตชีวประวัติของคิง-สมิธในชื่อ Chewing the Cud ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2001 และได้รับการตอบรับอย่างดี
คิง-สมิธเกิดในบิตตัน, กลูเชสเตอร์เชียร์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเคยผ่านงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทหารผ่านศึก ชาวนา เซลส์แมน เจ้าหน้าที่โรงงานรองเท้า ครู พิธีกรโทรทัศน์และนักเขียน
ปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่กับภรรยาของเขาในกระท่อมศตวรรษที่ 17 หลังเล็กๆ ใกล้กับเมืองบาธ
โรเบิร์ต เบิร์นสไตน์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เข้าทำงานที่อีคอส ฟิล์มส์ในปี 1994 ในหน้าที่พัฒนาแผนกดรามาและท้ายที่สุด เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและหุ้นส่วนของบริษัทแห่งนี้ เบิร์นสไตน์เคยอำนวยการสร้างดรามาช่วงไพรม์ไทม์หลายเรื่อง เช่นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จทางบีบีซีวันเรื่อง “Monarch of the Glen,” “Mccready & Daughter” (ให้กับบีบีซีวันเช่นกัน), “Amnesia” ทริลเลอร์สองตอนที่นำแสดงโดยจอห์น ฮันนาห์ให้กับไอทีวี และล่าสุด เรื่อง “My Boy Jack” ซึ่งเกี่ยวกับนักเขียนรุดยาร์ด คิปลิงและแจ็ค ลูกชายของเขาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นำแสดงโดยแดเนียล แรดคลิฟ (“Harry Potter”) และคิม แคทแทรล (“Sex in the City”) ให้กับไอทีวีวัน
หลังจากที่พัฒนาสคริปต์ภาพยนตร์เรื่อง “Mrs. Brown” (1997) ซึ่งนำแสดงโดยท่านผู้หญิงจูดี เดนช์ และได้รับรางวัลใหญ่ๆ 12 รางวัลทั่วโลก รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด บทบาทถัดไปของโรเบิร์ตก็คือการอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์เรื่อง “Charlotte Gray” ให้กับฟิล์ม โฟร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นำแสดงโดยเคท บลังเช็ตต์บอกเล่าเรื่องราวความรักที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นท่ามกลางเหตุการณ์สะเทือนใจระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองในฝรั่งเศส นับตั้งแต่นั้น โรเบิร์ตก็ได้อำนวยการสร้างทริลเลอร์เรื่องแรกของอีคอสเรื่อง “Wilderness” ซึ่งเกี่ยวกับหนุ่มสาวหกคนที่ถูกตามไล่ล่าโดยฆาตกรลึกลับอย่างทารุณในเกาะร้าง และภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของอีคอสเรื่อง “Becoming Jane” ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเจน ออสเตนวัย 20 และความรักระหว่างเธอกับทนายความหนุ่มชาวไอริช และนำแสดงโดยแอนน์ ฮาธาเวย์, เจมส์ แม็คอาวอยและจูลี วอเตอร์ส “Brideshead Revisited” มีกำหนดจะลงโรงในปี 2008 และดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกของเอเวอลีน วอห์ โดยแอนดรูว์ เดวีส์ และเจอเรมี บร็อค ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเอ็มมา ธอมป์สัน, ไมเคิล แกมบอน, เบน วิชอว์, แมทธิว กู๊ดและเฮย์เลย์ แอตเวล
ดักกลาส เร (ผู้อำนวยการสร้าง) เริ่มต้นการทำงานจากการเป็นนักข่าวฝึกหัดให้กับสก็อตติช เดลีย์ เอ็กซ์เพรสในเอดินเบิร์กห์ พออายุ 17 เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบรรณาการที่อายุน้อยที่สุดในประเทศด้วยการรับหน้าที่ดูแลเคอร์เรียมัวร์ เฮรัลด์ในแองกัส
หลังจากทำงานที่สก็อตติช เดลีย์ เมลได้สองปี เรก็เข้าทำงานที่สก็อตติช เทเลวิชันในตำแหน่งพิธีกรและผู้สื่อข่าว เขาเป็นผู้ดำเนินรายการ “Magpie” ซึ่งเป็นรายการเด็กยอดนิยม ให้กับเธมส์ เทเลวิชันเป็นเวลาห้าปี และเขาก็ได้เป็นพิธีกรงานเทศกาลเอดินเบิร์กห์และเทศกาลภาพยนตร์ให้กับสก็อตติช เทเลวิชันทุกปี
หลังจากจบคอร์สที่เดอะ เนชันแนล ฟิล์ม สคูล เขาก็กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ ในปี 1988 เขาได้ก่อตั้งอีคอส ฟิล์มส์ขึ้นเพื่ออำนวยการสร้างสารคดีและรายการศิลปะ เขาอำนวยการสร้างและกำกับ “The Great Moghuls” และ “Harry Enfield’s Guide to Opera” ให้กับแชนแนล โฟร์ งานสร้างโอเปราของราล์ฟ สเตดแมนเรื่อง “Plague and the Moonflower” ของเขาคว้ารางวัลอินดีส์ อวอร์ดสาขารายการศิลปะยอดเยี่ยมในปี 1994 มาครอง เรได้รับรางวัลบาฟตา สก็อตแลนด์ อวอร์ดสาขารายการศิลปะยอดเยี่ยมจากงานกำกับ “The Bigger Picture” ที่นำแสดงโดยบิลลี คอนนอลลีให้กับบีบีซี สก็อตแลนด์
ในปี 1997 เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Mrs. Brown” ที่นำแสดงโดยท่านผู้หญิงจูดี เดนช์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลใหญ่ๆ 12 รางวัลทั่วโลก ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขาผู้อำนวยการสร้างแห่งปีและได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ ในปี 2002 เรได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Charlotte Gray” ที่นำแสดงโดยเคท บลังเช็ตต์ให้กับฟิล์ม โฟร์ และในปี 2006 เขาได้อำนวยการสร้าง “Wilderness” ทริลเลอร์เรื่องแรกของบริษัท ในปี 2007 เรได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Becoming Jane” เรื่องราวชีวิตของเจน ออสเตนเมื่อวัย 20 ปีที่นำแสดงโดยแอนน์ ฮาธาเวย์, เจมส์ แม็คอาวอยและแม็กกี สมิธ “Brideshead Revisited” ที่ดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกของเอเวอลีน วอห์โดยแอนดรูว์ เดวีส์ (“Bridget Jones: The Edge of Reason”) และเจอเรมี บร็อค (“The Last King of Scotland”) นำแสดงโดยเอ็มมา ธอมป์สันและไมเคิล แกมบอน และมีกำหนดจะลงโรงปี 2008
ด้านจอแก้ว เรได้อำนวยการสร้างบริหารซีรีส์สองซีซันของ “The Ambassador” ที่นำแสดงโดยพอลลีน คอลลินส์ให้กับบีบีซีวัน, สองซีซันของ “An Unsuitable Job for a Woman” ซึ่งดัดแปลงโดยพีดี เจมส์และเจ็ดซีซันของดรามาทางบีบีซีวันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง “Monarch of the Glen” นอกเหนือจากนั้น ผลงานของเขายังได้แก่ซีรีส์ดรามาทางบีบีซีวันเรื่อง “Mccready & Daughter,” ซีรีส์สองตอนทางไอทีวีเรื่อง “Amnesia” และ “Like Father, Like Son” และ “Heartless” ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์และนำแสดงโดยแองกัส เดย์ตัน ในปี 2005 ดักกลาสได้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ทางไอทีวีที่ดัดแปลงจากโรแมนซ์คลาสสิกของโธมัส ฮาร์ดีเรื่อง “Under the Greenwood Tree” ที่นำแสดงโดยคีลลีย์ ฮอว์และเบน ไมล์
ดักกลาสได้อำนวยการสร้างบริหารซีรีส์สองตอนเรื่อง “Kitchen” ที่นำแสดงโดยเอ็ดดี อิซซาร์ดในบทเชฟผู้ปราดเปรื่องแต่กำลังหมดไฟในภัตตาคารชั้นนำของกลาสโกว์ ให้กับไฟว์, “Cape Wrath” ซีรีส์มืดหม่นลึกลับเกี่ยวกับครอบครัวที่อยู่ในโปรแกรมพิทักษ์พยานที่นำแสดงโดยเดวิด มอร์ริสซีย์ ให้กับแชนแนล โฟร์ และ “Mistresses” (บีบีซีวัน) ซีรีส์เกี่ยวกับผู้หญิงวัยสามสิบที่พยายามจะรับมือกับข้อดีและข้อเสียของการนอกใจ ดักกลาสเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับ “My Boy Jack” ภาพยนตร์ทางไอทีวีวัน ซึ่งนำแสดงโดยแดเนียล แรดคลิฟและคิม แคทแทรล และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรุดยาร์ด คิปลิง นักเขียนชาวอังกฤษและแจ็ค ลูกชายของเขาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
เรได้รับการยกย่องให้เป็นผู้สร้างภาพยนตร์สก็อตติชแห่งปีโดยสก็อตติช สกรีน (ปี 1997) ได้รับรางวัลสก็อตติช ไอคอน อวอร์ด ฟอร์ อินโนเวชัน (ปี 2004) และได้รับรางวัลซิลเวอร์ ธิสเทิล อวอร์ดจากคุณูปการที่เขาทำแก่สก็อตแลนด์ (ปี 2005)
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring,” “The Lord of the Rings: The Two Towers” และ “The Lord of the Rings: The Return of the King” แบร์รีย์ เอ็ม. ออสบอร์น (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และได้รับหนึ่งรางวัลจาก “the Lord of the Rings: The Return of the King” เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลบริติช อคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยคว้ามาได้สองรางวัลและได้รับรางวัลเอเอฟไอ ฟิล์ม อวอร์ดอีกด้วย
นอกเหนือจากผลงานไตรภาค The Lord of the Rings แล้ว ออสบอร์นยังได้อำนวยการสร้างบริหารบล็อกบัสเตอร์ที่ได้รับรางวัลสเปเชียล เอฟเฟ็กต์เรื่อง “The Matrix” เขาได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The World’s Fastest Indian,” “Little Fish,” “The Fan,” “Dick Tracy,” “Child’s Play,” “Wilder,” “Napalm,” “Rapa Nui” และ “Peggy Sue Got Married” ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์ของจอห์น วูเรื่อง “Face Off” และ “China Moon”
ออสบอร์นเป็นชาวนิวยอร์กแต่กำเนิด เขาสำเร็จการศึกษาด้านสังคมวิทยาจากวิทยาลัยคาร์เลตัน คอลเลจในมินเนโซตา ออสบอร์นได้รับยศร้อยโทในฝ่ายวิศวกรรมของกองทัพสหรัฐฯ ก่อนที่จะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในปี 1970 ในฐานะมือลำดับภาพฝึกหัด และผู้ช่วยผู้จัดการงานสร้าง เมื่อได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกงานของสมาพันธ์ผู้กำกับอเมริกา ออสบอร์นก็ได้ทำงานภายใต้การฝึกสอนของผู้กำกับชื่อดังอย่างฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, อลัน ปาคูลาและซิดนีย์ พอลแล็คในภาพยนตร์เรื่อง “The Godfather Part II,” “Three Days of the Condor” และ “All the President’s Men” จากนั้น เขาก็ได้ทำงานภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Apocalypse Now,” “The Big Chill,” “King of Comedy,” “The Cotton Club,” “Cutter’s Way,” “Fandango” และ “The China Syndrome” ในหลายตำแหน่งด้วยกัน
ระหว่างสองปีที่ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายงานสร้างภาพยนตร์ที่วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ออสบอร์นได้ทำการดูแลงานภาพยนตร์หลายเรื่องได้แก่ “Ruthless People,” “The Color of Money,” “Tin Men,” “Three Men and A Baby,” “Tough Guys,” “Outrageous Fortune,” “Who Framed Roger Rabbit” และ “Good Morning Vietnam”
ชาร์ลี ลีออนส์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้ผลิตและผู้ให้เงินทุนภาพยนตร์รายใหญ่ เขามีประสบการณ์ยาวนาน 18 ปีในวงการบันเทิงและภาพยนตร์ ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วนของบริษัทโฮลดิง พิคเจอร์สและเป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษาให้กับบีคอน คอมมูนิเคชันส์ของอาร์เมียน เบิร์นสไตน์ บริษัทเหล่านี้ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ทำรายได้กว่าสองพันล้านเหรียญและมีผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมประมาณสามสิบเรื่อง ซึ่งได้แก่ “The Hurricane,” “Air Force One,” “The Family Man,” “Spy Game,” “For Love of the Game,” “Thirteen Days” และผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ได้แก่ “The Guardian,” “Firewall,” “Ladder 49,” “Raising Helen” และ “A Lot Like Love” ผลงานที่จะลงโรงเร็วๆ นี้ของทางบริษัทได้แก่การฉายภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Pu-239” ในเดือนพฤศจิกายน และตอนที่สี่ของซีรีส์ชื่อดัง “Bring It On”
ลีออนส์ยังเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตประธานบริษัทแอสเซนต์ เอนเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป อิงค์. บริษัทสื่อสารมวลชนระดับโลกที่ถูกลิเบอร์ตี มีเดีย กรุ๊ปซื้อไปเมื่อปี 2000 แอสเซนต์เป็นเจ้าของและผู้บริหารงานบีคอน พิคเจอร์ส, ออน คอมมานด์ คอร์ปอเรชัน (ดาวเทียมและเคเบิล), ผู้ให้บริหารด้านเครือข่ายและการแพร่ภาพของเอ็นบีซี, เอ็นบีเอ เดนเวอร์ นักเก็ตส์, เอ็นเอชแอล โคโลราโด อวาลอนช์ (แชมเปียนสแตนลีย์ คัพปี 1996) และผู้พัฒนาและให้เงินทุนศูนย์กีฬาและความบันเทิงมูลค่า 200 ล้านเหรียญ (เป็ปซี เซ็นเตอร์ในดาวน์ทาวน์ของเดนเวอร์, โคโลราโด) ชาร์ลีเป็นผู้ก่อตั้งโคโลราโด สตูดิโอ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันที่ใหญ่ที่สุดในโคโลราโด ชาร์ลีได้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในบอร์ดบริหารบริษัทและการกุศลอื่นๆ มากมาย เช่นเอ็นบีเอ, เอ็นเอชแอล, ดับบลิวเอ็นบีเอ, โรงพยาบาลเนชันแนล ยิววิชและมหาวิทยาลัยแกลลอเด็ต
ชาร์ลส์ นิวเวิร์ธ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เข้าร่วมงานกับเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 และเป็นผู้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์ทุกเรื่องของเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ บัดนี้ เรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ที่ก้าวเข้าสู่ปีที่เจ็ด ได้ผลิตภาพยนตร์กว่า 40 เรื่องได้แก่ “America’s Sweethearts,” “Black Hawk Down,” “xXx,” “Anger Management,” “Daddy Day Care,” “Hellboy,” “13 Going On 30,” “Click,” “Are We There Yet?” และ “Rocky Balboa” ที่เรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ นิวเวิร์ธได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์เรื่อง “Maid in Manhattan,” “The One,” “America’s Sweethearts.” “Christmas with the Kranks,” “Freedomland,” “Perfect Stranger” และ “Across the Universe”
ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานกับเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ นิวเวิร์ธได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ม้ามืดปี 1999 เรื่อง “Galaxy Quest” เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตของโรบิน วิลเลียมส์เรื่อง “Patch Adams” และ “Home Fries” ที่นำแสดงโดยดรูว์ แบร์รีมอร์อีกด้วย
ผลงานอื่นๆ ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหารของนิวเวิร์ธได้แก่ภาพยนตร์ของแบรด ซิลเบอร์ลิงเรื่อง “City of Angels” ที่นำแสดงโดยนิโคลัส เคจและเม็ก ไรอัน, ดรามาชีวิตจริงของร็อบ ไรเนอร์เรื่อง “Ghosts of Mississippi” ที่นำแสดงโดยอเล็ค บัลด์วิน, วู้ปปี โกลด์เบิร์กและเจมส์ วูดส์, “The American President” ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักกลาสและแอนเน็ตต์ เบนนิงให้กับผู้กำกับร็อบ ไรเนอร์และภาพยนตร์ของจอน เทอร์เทลท็อบเรื่อง “Phenomenon” ที่นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลตา นอกเหนือจากนั้น นิวเวิร์ธยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดของโรเบิร์ต ซีเมคคิสเรื่อง “Forrest Gump” และเขายังได้รับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของแบร์รี เลวินสันเรื่อง “Toys” และ “Bugsy” และผู้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของเลวินสันเรื่อง “Avalon” อีกด้วย
นิวเวิร์ธเป็นชาวนิวยอร์กแต่กำเนิด เขาก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสถานที่ในภาพยนตร์เรื่อง “Flashdance,” “Pretty in Pink” และ “Ferris Buelle’s Day Off” ภายหลัง เขาได้เลื่อนขึ้นไปเป็นผู้จัดการงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Throw Momma From the Train” และ “RoboCop” ก่อนที่เขาจะได้รับเครดิตผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ของแอนดรูว์ เดวิสเรื่อง “The Package”
โอลิเวอร์ สเตเปิลตัน, บีเอสซี (ผู้กำกับภาพ) ได้ถ่ายภาพให้กับภาพยนตร์ทรงอิทธิพลและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมหลากหลายแนว ซึ่งรวมถึง “The Cider House Rules” ให้ผู้กำกับแลสซี ฮัลสตรอม ซึ่งเขาได้ร่วมงานด้วยอีกครั้งใน “The Shipping News” และ “An Unfinished Life” เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับสตีเฟน เฟรียร์สในภาพยนตร์เรื่อง “My Beautiful Laundrette” ซึ่งตามมาด้วย “Prick Up Your Ears,” “Sammy and Rosie Get Laid,” “The Grifters,” “Hero,” “The Snapper,” “The Van” และ “The Hi Lo Country” เขาได้ร่วมงานกับจูเลียน เทมเปิลในภาพยนตร์เรื่อง “Absolute Beginners” และคอเมดีไซไฟเรื่อง “Earth Girls Are Easy”
สเตเปิลตันยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับไมเคิล ฮอฟแมนสี่ครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “A Midsummer Night’s Dream,” “One Fine Day,” อีพิคที่ได้รับรางวัลออสการ์เรื่อง “Restoration” และ “Restless Natives” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Casanova,” “Ned Kelly,” “Buffalo Soldiers,” “The Object of My Affection,” “The Designated Mourner,” “Kansas City,” “Let Him Have It,” “She-Devil,” “The Secret Policeman’s Other Ball” และ “Danny, The Champion of the World” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงเอซ อวอร์ด เขาเริ่มต้นการทำงานด้วยการถ่ายทำมิวสิค วิดีโอและได้รับรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ อวอร์ดสาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม จากผลงานของเขาในวิดีโอเพลง “Take on Me” ของวงอะฮา
โทนี เบอร์โรห์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับเจย์ รัสเซลมาแล้วใน “Ladder 49” และ “Tuck Everlasting” โทนีมีแบ็คกราวด์ด้านงานจิตรกรรมมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้ เขาเคยศึกษาด้านศิลปกรรมในลอนดอน
เขาได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมแผนกออกแบบของบีบีซี เทเลวิชัน ที่ซึ่งเขาได้ทำงานอยู่หลายปี เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดจากผลงานของเขาในมินิซีรีส์เรื่อง “Talking Heads” และ “The Buccaneers” ในปี 2000 เบอร์โรห์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขากำกับศิลป์ดีเด่นในมินิซีรีส์ ภาพยนตร์หรือรายการพิเศษสำหรับ “Arabian Nights” ผลงานการออกแบบที่หลากหลายของเขายังได้แก่ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายดิคเคนส์ของอัลฟองโซ คัวรอนเรื่อง “Great Expectations,” “The Luzhin” ที่สร้างขึ้นจากนิยายของนาโบคอฟ, ภาพยนตร์ผจญภัยยุคกลางที่ตลกขบขันเรื่อง “A Knight’s Tale” และ “Hotel Rwanda” ในปี 1996 เบอร์โรห์ได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดและรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช อาชีฟเมนต์ อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “Richard III”
มาร์ค วอร์เนอร์ (ลำดับภาพโดย) ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “Driving Miss Daisy” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากการลำดับภาพภาพยนตร์เรื่อง “And Starring Pancho Villa as Himself” ผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลายของวอร์เนอร์ได้แก่ “Lara Croft: Tomb Raider,” “The Contract,” “Like Minds,” “A Soldier’s Story,” “Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid,” “Stayin’ Alive,” “48 Hrs,” “Rocky III,” “Double Jeopardy,” “The Devil’s Advocate,” “Cocoon The Return” และ ”The Running Man”
จอห์น บลูมฟิลด์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) มีผลงานภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์และละครเวทีมากมาย ผลงานของเขาได้แก่ “Being Julia,” “Appointment With Death,” “Conan the Barbarian,” “The Bounty,” “The Mummy” และ “The Mummy Returns,” “The Scorpian King,” “Robin Hood — Prince of Thieves,” “Rapa Bui,” “Waterworld,” “The Postman” และ “Open Range”
ผลงานละครโทรทัศน์ของเขาได้แก่ “The Six Wives of Henry VIII” ที่ได้รับการยกย่องและทำให้เขาได้รับรางวัลบาฟตา, “The Devil’s Crown,” “Macbeth,” “Hansel and Gretel,” “The Cherry Orchard” และ “Rogue Males”
เขาได้ออกแบบละครเวทีหลายเรื่องให้กับอีวอน อาร์นอด เธียเตอร์, กิลฟอร์ด, เดอะ เชฟฟิลด์ ครูซิเบิล, เดอะ รอยัล เอ็กเชนจ์ เธียเตอร์, เดอะ อิงลิช เนชันแนล โอเปรา, เดอะ เวลช์ ดรามา คัมปะนี, เดอะ ชิคเชสเตอร์ เฟสติวัล เธียเตอร์และฮ่องกง เฟสติวัล
เขาเป็นอาจารย์พิเศษให้กับวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสถาบันรอยัล คอลเลจ ออฟ อาร์ต แฟชัน สคูลและเดอะ วิมเบิลดัน สคูล ออฟ อาร์ต เธียเตอร์ สคูล ในลอนดอน และเขายังบรรยายที่รอยัล เทเลวิชัน โซไซตีอีกด้วย มีการจัดนิทรรศการที่สร้างขึ้นจากแบบวาดของเขาและชุดสำหรับเรื่อง “The Six Wives of Henry VIII” ในลอนดอนและออสเตรเลีย
เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด (นักประพันธ์เพลง) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดหกครั้งและเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่เก่งกาจที่สุดในวงการ มีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์และละครโทรทัศน์กว่าร้อยเรื่อง ผลงานล่าสุดที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ได้แก่เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “The Village” ของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน โฮเวิร์ดได้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ทุกเรื่องของชยามาลาน เริ่มต้นด้วยผลงานกำกับเรื่องแรกของเขา “The Sixth Sense” ตามมาด้วย “Unbreakable,” “Signs” และ “Lady in the Water”
โฮเวิร์ดได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จากผลงานของเขาใน “My Best Friend’s Wedding,” “The Fugitive” และ “The Prince of Tides” เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์อีกสองครั้งในสาขาเพลงประกอบออริจินอลยอดเยี่ยมจากเพลง "Look What Love Has Done" จากภาพยนตร์เรื่อง “Junior” และเพลง "For the First Time" จากภาพยนตร์เรื่อง “One Fine Day” เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากเพลงทั้งสองด้วย โฮเวิร์ดได้รับการเสนอชื่อชิงลูกโลกทองคำครั้งที่สามจากเพลงประกอบรีเมกเรื่อง “King Kong” ของปีเตอร์ แจ็คสัน
ผลงานภาพยนตร์มากมายของโฮเวิร์ดได้แก่ “Michael Clayton,” “Blood Diamond,” “RV,” “Freedomland,” “Batman Begins,” “The Interpreter,” “Collateral,” “Hidalgo,” “America's Sweethearts,” “Runaway Bride,” “Romy and Michele's High School Reunion,” “Primal Fear,” “Outbreak,” “Wyatt Earp,” “Dave,” “Falling Down,” “Grand Canyon,” “My Girl,” “Pretty Woman” และ “Major League”
โฮเวิร์ดที่เคยได้รับรางวัลจากผลงานจอแก้วมาแล้ว ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขาเพลงธีมไตเติลดีเด่นสำหรับซีรีส์ "Gideon's Crossing" และได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมีในสาขาเดียวกันจาก "ER"
“ACADEMY AWARD?” และ “OSCAR?” เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและสัญลักษณ์ของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ