KTAMเปิดขายKT-JPFUNDอิงดัชนีนิคเคอิ225 เพิ่มทางเลือกกระจายพอร์ตIPOถึงวันที่8 มี.ค.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 4, 2019 13:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--บลจ.กรุงไทย นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส4 ของประเทศญี่ปุ่น ขยาย +0.3% จากอุปสงค์ในประเทศกลับมาขยายตัวทั้งหมดจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงอุปสงค์ต่างประเทศ ขณะที่การส่งออก และนำเข้าก็ฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดี ทั้งนี้ Bloomberg ได้คาดว่า ดัชนี นิคเคอิ 225 ในปี 2020 ขึ้นไป น่าจะมีโอกาส อยู่ที่ 40,000 เนื่องจาก ROE มีค่าสูงขึ้นจากศักยภาพการสร้างผลผลิตที่สูงขึ้น ผ่านการลงทุน (Capex ) และการทำวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น ( R&D) การลดภาษีธุรกิจ และการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ รวมถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจในญี่ปุ่นเริ่มสนับสนุนผู้ถือหุ้นมากขึ้น การเติบโตของเงินทุนเริ่มกลับมา นอกจากนี้ บริษัทในญี่ปุ่นถือเงินสดมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก สามารถสร้างเงินสดได้มากกว่าการใช้เงินสดของตัวเอง และเงินสดจำนวนมากจะช่วยสนับสนุนการทำ Capex / R&D รวมถึงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น ดังนั้น จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เจแปน อิควิตี้ พาสซีฟ ฟันด์ ( KT-JPFUND) เสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2562 เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน IShares Core Nikkei 225 ETF เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าน้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุยรวมหลัก จะเน้นลงทุนในตราสารทุนในประเทสญี่ปุ่น ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีNikkei 225 เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี Nikkei 225 โดยจุดเด่นของกองทุน เน้นลงทุนให้ได้ผลลัภย์ใกล้เคียงกับดัชนีนิคเคอิ 225 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมากกว่า 60 ปี ลงทุนขนาดใหญ่ในตลาดญี่ปุ่นประมาณ 225 ตัว ในหลากหลายอุตสาหกรรม มีการทบทวนหุ้นที่เป็นองค์ประกอบ ของดัชนี โดยพิจารณาจากสภาพคล่องในตลาด และความสมดุลของหมวดอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การลงทุนผ่านกองทุน KT-JPFUND ทำให้ได้โอกาสของการลงทุนที่น่าสนใจ จากมูลค่าตลาดหุ้นที่ค่อนข้างถูกในประเทศญี่ปุ่น และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัท โดยเฉลี่ยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหลัก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในปี 2018 อยู่ที่ -10.47 % ในปี 2017 อยู่ที่ 21.09% ในปี 2016 อยู่ที่ 2.20% และในปี 2015 อยู่ที่ 10.78% ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับ Benchmark (ดัชนีอ้างอิง Nikkei 225 ) ในปี 2018 อยู่ที่ -12.08% ในปี 2017 อยู่ที่ 19.10% ในปี 2016 อยู่ที่ 0.42% และในปี 2015 อยู่ที่ 9.07% ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ